นักวิชาการเครื่องซักผ้า
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ปัจจุบัน นักวิชาการมีบทบาทมากขึ้นทุกวัน แน่นอน เมื่อมีบทบาท ก็ย่อมมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งมีทั้งทางบวกและทางลบ. มีคำพูดคำพูดหนึ่งว่า นักวิชาการมีบทบาทคล้ายๆกับเครื่องซักผ้า ...คือ คอยที่จะทำความสะอาดหรือคอยที่จะชำระมลทิน ของโครงการ หรือกิจกรรมบางประการที่มีข้อครหานินทา
วันนี้ทีทรรศน์ท้องถิ่น จึงนัดคุยกับนักวิชาการ และตัวแทนภาคประชาชน โดยได้รับความอนุเคราะห์สถานที่ จากศูนย์สตรีศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ท่านนักวิชาการและตัวแทนภาคประชาชนจะมีความคิดเห็นอย่างไร ต่อบทบาทของนักวิชาการ ขอให้เรามาร่วมรับชม และรับฟังไปพร้อมกัน.
ท่าน อ. ฉลาดชายครับ, พอพูดถึงคำว่านักวิชาการ นักวิชาการที่เราพูดถึงถ้าจะกล่าวให้ถูกต้อง หมายถึงใครครับ.
ฉลาดชาย รมิตานนท์ : นักวิชาการ ผมคิดว่าสังคมหมายถึงคนที่มีความรู้ และจะต้องเป็นความรู้ที่ร่ำเรียนมาจากการศึกษาในระบบ หรือมาจากมหาวิทยาลัย นักวิชาการจึงเป็นผู้ที่อ้างว่า มีความรู้และสังคมก็เชื่อว่ามีความรู้. แต่การมีความรู้ ผมคิดว่าต้องทำความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกนิดว่า ความรู้ในที่นี้ เราเคยมีความรู้สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ, 1000 ปี, 800 ปี, 500 ปี หรืออะไรก็แล้วแต่. แต่ความรู้ประเภทนั้น ในระยะหลังๆนี้ เราไม่เคยให้ความสนใจกับมัน เราถือว่ามันไม่ใช่ความรู้ไปเสียแล้ว.
ความรู้ที่ว่าให้คุณค่าในปัจจุบัน แล้วถือว่านักวิชาการครอบครองอยู่ ก็คือความรู้ที่เราร่ำเรียนมาจากตะวันตก ซึ่งถ้าจะพูดให้สั้นเข้าก็หมายความว่า เป็นความรู้ที่อ้างกันว่าเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้น ความรู้ที่อ้างว่าเป็นวิทยาศาสตร์ จึงเป็นอาวุธสำคัญที่จะทำให้นักวิชาการมีอิทธิพลมาก ทั้งในด้านบวกและในด้านลบ ทั้งในด้านที่จะทำให้เกิดความสกปรกต่อสิ่งแวดล้อมก็ได้ ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคมก็ได้ หรือจะใช้ความรู้นั้น ทำให้ความสกปรกนั้นหายไปก็ได้เหมือนกัน
ผมคิดว่านักวิชาการจะมีอยู่มากที่สุด ไม่ใช่ในมหาวิทยาลัย แต่อยู่กับระบบราชการ... กระทรวงเกษตรก็มีนักวิชาการ กระทรวงสาธารณสุขก็มีนักวิชาการ กระทรวงคมนาคมก็มีนักวิชาการ ทุกกระทรวงทบวงกรม ก็มีนักวิชาการของเขาทั้งสิ้น. และนักวิชาการราชการเหล่านี้ รวมทั้งนักวิชาการที่อยู่ในสายของนักวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ บุคคลเหล่านี้ทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องของชีวิตไทย สังคมไทย และประเทศไทย ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ทั้งในด้านการเมือง รวมไปถึงทุกๆด้านมาตั้งแต่ 40 ปีมาแล้ว ตั้งแต่เราเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯมา. และนักวิชาการเหล่านี้ก็คือ ผู้ที่เป็นคนผลักดันสิ่งที่เราเรียกว่าการพัฒนามาโดยตลอด ไม่ว่าจะผลักดันในเชิงนโยบาย เทคนิค และการบริหาร.
แต่เมื่อกาลเวลามันผ่านไป 40 ปี, สังคมก็เริ่มพบว่า การพัฒนาในประเทศไทยมันมีปัญหา. ปัญหาที่ใหญ่มาก 3 เรื่องที่ใหญ่มากก็คือ...
เรื่องที่ 1. คือเรื่องสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติสูญหายไปอย่างเอาไว้ไม่อยู่.
เรื่องที่ 2. คือ ความไม่เป็นธรรมของการพัฒนา เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนห่างมากขึ้นภายในประเทศ, นอกจากนั้น ช่องว่างระหว่างความรวยความจน ยังเกิดขึ้นระหว่างในระดับประเทศด้วย นั่นก็คือ ประเทศของเรา จะตกอยู่ในภาวะที่เสียเปรียบทางด้านเศรษฐกิจมากขึ้นๆ.
ส่วนเรื่องที่ 3. คือปัญหาในเรื่องของการไร้ศีลธรรม การตายไปของศีลธรรม-จรรยา ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก.
และเมื่อเราเห็นว่ามันมีปัญหา 3 เรื่องใหญ่ๆนี้เกิดขึ้นมา จึงเริ่มมีประชาชนตั้งคำถามว่า การพัฒนานี่...มันยั่งยืนจริงหรือเปล่า การพัฒนานี่ มันเป็นธรรมจริงหรือเปล่า. แต่การตั้งคำถามของเขา ไม่ได้ตั้งคำถามในเชิงนามธรรมอย่างผม. แต่เขาตั้งคำถามว่า เขื่อนที่สร้างขึ้นมานี่ มันดีจริงหรือเปล่า. เขื่อนที่สร้างขึ้นมานี่ ทำไมพวกเรา พวกฉันที่อยู่กับแม่น้ำมูล อยู่กับแม่น้ำชี อยู่กับแม่น้ำปิง...ถึงได้เดือดร้อนไปตามๆกัน. ทำไมถึงได้บ้านแตกสาแหรกขาด นี่คือสิ่งที่เขาตั้งคำถามในเรื่องความเป็นธรรม.
ประมวล เพ็งจันทร์ : ฟังอาจารย์แล้วเห็นภาพว่า นักวิชาการคือคนกลุ่มหนึ่ง ที่ร่ำเรียนมาในระบบ... แบ่งออกเป็นหลายสาขาอาชีพ. อ.ศรีศักร ที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นนักวิชาการ แต่ อ.ศรีศักดิ์ อาจจะต่างจากท่านผู้อื่นนิดหนึ่ง ตรงที่ว่าเวลาพูดถึงอาจารย์ คนมักจะมองว่าเป็นนักวิชาการ ที่ยึดถือความเป็นธรรม เป็นนักวิชาการที่เข้าอกเข้าใจชาวบ้าน เป็นนักวิชาการที่เอื้อและเกื้อกูลกับชาวบ้านในระดับล่าง. ผมอยากจะคุยกับ อ.ศรีศักร ครับว่า เวลาที่อาจารย์พูดถึงนักวิชาการในฐานะที่ตัวเองเป็นนักวิชาการ และเพื่อนนักวิชาการ, นักวิชาการที่อาจารย์มองเห็น และบทบาทหน้าที่ที่พวกเขาทำอยู่ตอนนี้ อาจารย์คิดว่ามีอะไรที่จะต้องพูดถึงบ้างไหมครับ
ศรีศักร วิลลิโภดม : ผมมองประเด็นคล้ายๆกับ อ.ฉลาดชาย คือนักวิชาการเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่สังคมยกย่อง ให้ความยกย่องว่า คำอธิบายของเขาเป็นที่ยอมรับ ดังนั้น หน้าที่ของนักวิชาการก็คือให้คำอธิบายที่มีอำนาจอยู่ในตัว มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว ...สิ่งเหล่านี้มันเริ่มมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 มาแล้ว เพราะเราเริ่มมีนักวิชาการที่ส่งไปเรียนนอก พวกนี้เรียกว่าเป็นพวกศักดินาก็ว่าได้ เพราะว่ามีภาพของศักดินาสืบเนื่องกันอยู่ มีการยอมรับของสังคมสืบเนื่องกันอยู่ และทำให้นักวิชาการพูดอะไรก็เป็นที่เชื่อได้ ตัวนักวิชาการเอง ก็มีสถานภาพที่ไม่ใช่คนธรรมดา ซึ่งได้เข้ามาแทนเจ้าขุนมูลนายกลุ่มหนึ่งทีเดียว.
ประเด็นต่อมาคือ นักวิชาการเมืองไทยนั้น ได้รับอิทธิพลตะวันตก แต่มันเป็นตะวันตกที่คับแคบ เพราะเราไปเรียนเฉพาะเรื่องๆมา เราไม่ได้เรียนครบวงจร, เราจะเอาอย่างเขา เราก็เลือกเรียนเฉพาะบางอย่างมา มันก็เลยได้มาไม่ครบอะไรต่างๆในความเป็นมนุษย์
ประมวล เพ็งจันทร์ : เมื่อสักครู่นี้ อ.ฉลาดชายได้พูดว่า วิชาการหรือจะเรียกว่าความผูกชาดทางวิชาการถูกจำกัดอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ ใครจะมาเป็นนักวิชาการ ใครจะมาเป็นผู้พูดให้คนอื่นเชื่อถือ มีความศักดิ์สิทธิ์ก็จะต้องอ้างความเป็นวิทยาศาสตร์...
ศรีศักร วิลลิโภดม : ซึ่งหมายความว่า เชื่อตามแบบฝรั่งว่า วิทยาศาสตร์ต้องเป็นตัวนำ แต่ว่าการที่ฝรั่งมองวิทยาศาสตร์ มันก็ไม่คล้ายกับที่คนไทยมอง เพราะว่ามันขาดตอน. ความเป็นวิทยาศาสตร์นั้น มันมีวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ทางสังคม แต่เราเอามามันก็ไม่ได้ครบ. วิทยาศาสตร์ธรรมชาติที่เราเอามามันก็ไม่ครบเครื่องของเขา ...ผมคิดว่าวิทยาศาสตร์เป็นความคิดที่ดี คือเป็นการทำความเข้าใจกับธรรมชาติอย่างลุ่มลึก แต่เราไม่ได้เน้นความลุ่มลึก เราเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ คือมองวิทยาศาสตร์อย่างคับแคบ เพื่อนำมาใช้สำหรับอะไรสักอย่างหนึ่ง... สรุปก็คือ เป็นวิทยาศาสตร์ที่เน้นทางด้านเทคโนโลยี แต่ไม่ใช่เพื่อจะทำความเข้าใจปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอย่างลุ่มลึก
อีกประเด็นหนึ่ง วิทยาศาสตร์ทางสังคมก็เอามาไม่ครบ. มันเอาวิทยาศาสตร์ทางสังคมศาสตร์มาอย่างคับแคบเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น วิทยาศาสตร์ทางสังคมศาสตร์ เราอาจจะเน้นวิทยาศาสตร์เฉพาะวิชา... อย่างนักเศรษฐศาสตร์คิดอย่างไร นักรัฐศาสตร์คิดอย่างไร... เรายังขาดนักวิชาการด้านอื่นๆที่จะคิด อย่างนักสังคมศาสตร์ นักมานุษยวิทยา เขาก็คิดกันอีกแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้น ความเป็นวิทยาศาสตร์เหล่านี้ มันจะต้องนำมาประมวลเชื่อมโยงกัน ถึงจะครบองค์ความรู้เกี่ยวกับมนุษย์
ประมวล เพ็งจันทร์ : คืออาจารย์มองว่ามันเป็นวิชาการที่เราไปเอามาไม่ครบ
ศรีศักร วิลลิโภดม : มันไม่ครบ มันเป็นเสี่ยงๆ เพราะฉะนั้นมันจึงเกิดลักษณะที่นิยมชมชอบวิชาของตัว เอาหรือยึดวิชาของตัวเองเป็นใหญ่
ประมวล เพ็งจันทร์ : ในวงวิชาการนั้นยังมีการจำแนกใช่ไหมครับ อย่างกรณีของ อ.ฉลาดชาย หรือ อ.ศรีศักร เองก็ดี... นักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติก็มองว่าไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์ที่บริสุทธิ์นัก... เป็นวิธีการหรือใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่บางครั้ง ก็มีการถกเถียงกันว่าเป็นวิทยาศาสตร์จริงหรือเปล่า... ตรงนี้ อ.ฉลาดชายมีความคิดเห็นอย่างไรครับ
ฉลาดชาย รมิตานนท์ : แทนที่จะตอบคำถามนี้โดยตรง ผมอยากจะย้อนไปตรงที่ อ.ศรีศักร พูดไว้คือว่า เราไปรับเอาวิทยาศาสตร์เขามา แล้วเราก็ไปรับมาไม่ครบ... แต่ผมอยากจะเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันนี้ วงการของนักวิชาการของโลก นักคิดของโลก เขาระบุออกมาอย่างชัดเจนเลยว่า วิทยาศาสตร์เองคือตัวปัญหา... คือไม่ใช่เราเอามาไม่ครบอย่างเดียว ในตัวของมันเองนั่นล่ะมีปัญหา คือมันมีปัญหาหลายอย่าง ที่วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มันเกี่ยวข้องกับมนุษย์ ที่มันเกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งมันมีมากกว่าความเป็นวิทยาศาสตร์. มนุษย์มีอารมณ์ มนุษย์มีความรู้สึก มนุษย์มีความเจ็บปวด ความเศร้า ความทะเยอทะยาน ความหวัง ความสิ้นหวัง แต่สิ่งเหล่านี้ วิทยาศาสตร์ไม่ได้ให้ความสำคัญ เพราะถือว่าเป็นเรื่องซึ่งวิทยาศาสตร์ไม่เกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้ เอาเข้าหลอดทดลองไม่ได้
แต่เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับวิทยาศาสตร์ ในนามของเทคโนโลยีบ้าง ในนามของคำอธิบายสรรพสิ่งต่างๆบ้าง ปรากฏว่า มนุษย์ไม่สามารถจะได้รับคำตอบ คำอธิบายที่พึงพอใจได้จากวิทยาศาสตร์. เพราะฉะนั้น นับแต่นี้ต่อไปหรือนับจาก พ.ศ.นี้ไป จะไม่ใช่สิ่งที่เราควรมองไปเพื่อหาคำตอบที่เดียว. เรา ควรจะมองหาคำตอบจากแหล่งอื่นๆด้วย. ซึ่งมีนัยยะว่า เมื่อวิทยาศาสตร์มาจากตะวันตก เราจึงจำเป็นที่จะต้องมองหาคำตอบนอกโลกตะวันตก. ฉะนั้น เราจะมองเห็นว่า แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ตะวันตกเอง เขาก็ไม่ได้มุ่งมั่นที่จะมองหาคำตอบจากวิทยาศาสตร์ หรือตะวันตกที่เดียว. เขาระดมกันเข้ามาศึกษาในเมืองไทย ในเมืองลาว ในเวียดนาม ในแอฟริกา ในที่ไหนต่างๆมากมาย เพื่อแสวงหาภูมิปัญญาความรู้อื่นๆที่เป็นภูมิปัญญาความรู้นอกวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่ได้ใช้ระบบคิดและระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องมีการพิสูจน์กันในห้องทดลอง
เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ มันจึงเปิดโอกาสให้สิ่งที่เราเรียกว่าภูมิปัญญาพื้นบ้าน เกี่ยวกับสมุนไพร การรักษาพยาบาล การจัดการทรัพยากรเกิดขึ้น ...อันนี้เป็นกระแสที่ดี. แต่ว่านักวิชาการไทยกลับดูแคลนสิ่งเหล่านี้.
ศรีศักร วิลลิโภดม : ผมคิดว่ามันมีปัญหาอย่างนี้ครับ มันเป็นการมองโลกและค่านิยมที่ปะทะกันระหว่างตะวันตกและตะวันออก. ทางตะวันตกมีมุมมองและท่าทีในการควบคุมธรรมชาติ อธิบายธรรมชาติคือวิทยาศาสตร์ แล้วตรงนี้มันถึงพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาควบคุมธรรมชาติ ตรงนี้ล่ะ คือสิ่งที่เป็นแกนของตะวันตก และเป็นที่มาของวัตถุนิยมทั้งหลาย. แต่ตะวันออกมองธรรมชาติในท่าทีที่สยบต่อธรรมชาติ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่สนใจเรื่องที่จะไปควบคุมธรรมชาติ เพราะทางตะวันออกรู้ว่า เราไม่สามารถที่จะไปอธิบายทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกได้ สิ่งซึ่งอธิบายไม่ได้จึงพัฒนาเกิดเป็นความเชื่อขึ้นมา เพราะฉะนั้น พัฒนาการทางตะวันออกจึงเน้นไปในเรื่องศาสนา จริยธรรมเป็นใหญ่ ซึ่งอันนี้มันนอกเหนือธรรมชาติ. ดังนั้นเวลามองโลก ก็จะแฝงไปด้วยสิ่งที่พิสูจน์ได้ในธรรมชาติ และพิสูจน์ไม่ได้คือความเชื่อ ...มันจะมาด้วยกัน เพราะฉะนั้น มันจึงต่างกันมาก
ทีนี้เวลาที่เราไปรับตะวันตก เราไปเอามันมาใช้ แล้วก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาเข้าใจ ...เขาพยายามที่จะแสวงหา เมื่อเขาอธิบายตัวเองด้วยวิทยาศาสตร์ด้วยธรรมชาติไม่ได้ เขาถึงมาหาทางตะวันออก แต่เราไปเดินตามทางที่เขาล้มเหลวมา
ประมวล เพ็งจันทร์ : หลังจากที่ฟังนักวิชาการทั้งสองท่านแล้ว เรามีตัวแทนภาคประชาชน หรือเรียกว่าชาวบ้านมานั่งคุยกับเราด้วย. คุณชัยพันธุ์ มีความรู้สึกอย่างไรครับต่อภาพนักวิชาการที่ทั้ง 2 ท่านได้เสนอมา
ชัยพันธุ์ ประภาสะวัต : สิ่งที่อาจารย์พูด ซึ่งเป็นช่วงที่ผ่านมา 40 กว่าปี. ผมขอย้อนถึงประเทศไทยที่อยู่มานานนับเป็นเวลาหลายร้อยปี สมัยก่อน มันมีนักวิชาการไหม ? ถามว่าวัดพระแก้วเมื่อ 200 ปี ใครสร้างละครับ. ภูเขาทองใหญ่โตใครสร้าง, อยุธยาก็อลังการมาก สร้างมาก่อนประเทศสหรัฐอเมริกาอีก. ถามว่าตอนนั้นเรามีนักวิชาการไหม ? อันนี้มันน่าสงสัย.
นักวิชากรของเราในสมัยก่อนนั้นมันมีอยู่ มันมีวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นโดยชุมชนเอง. ศรีปราชญ์ สุนทรภู่ ถามว่าเป็นนักวิชาการไหม ? คนเหล่านี้มีความรู้มาก สั่งสอนเราด้วยโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ซึ่งสะท้อนออกมาในความรู้เกี่ยวกับเรื่องของวิทยาศาสตร์ สังคม ประเพณี เยอะแยะไปหมด และรู้ลึกด้วย... ถามว่าคนเหล่านั้นเป็นนักวิชาการไหม เขาเรียนจบจากไหน ไปต่างประเทศมาหรือเปล่า ? คนเหล่านี้ ได้ความรู้มาจากชุมชน มาจากท้องถิ่น และสิ่งหนึ่งซึ่งมันขาดไปเมื่อ 40-50 ปี หรือ 100 ปีก็ได้ ที่อาจารย์บอกว่า นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ก็คือ เราแยกเอาองค์ความรู้ออกจากวัด.
ก่อนนั้น... นอกจากชุมชนแล้ว วัดจะเป็นศูนย์รวมของชุมชน เป็นแหล่งเรียนรู้ การเรียนรู้จากวัดเราจะได้ 2 อย่าง คือได้ความรู้และศีลธรรมด้วย หลังจากที่เราแยกเอาการเรียนรู้ออกจากวัด เรื่องของศีลธรรมจึงขาดหายไป
ศรีศักร วิลลิโภดม : คือแต่ก่อนนั้นมันเป็นองค์รวม ทั้งความรู้ ความเชื่อ ศีลธรรม... แต่มาตอนหลังนี่ อิทธิพลตะวันตกมันทำให้เกิด secularization (การทำให้เป็นเรื่องทางโลก ซึ่งแยกออกมาจากเรื่องของวัด) กันเอาเรื่องของศีลธรรมและความเชื่อออกไป และ secularization มันได้นำมาสู่สิ่งที่จะต้องเป็น objective (วัตถุวิสัย) อันนี้เริ่มมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แล้ว. ยกตัวอย่างเช่น การพิสูจน์ว่าโลกแบนหรือโลกกลม. ตามความเชื่อเดิมของเรา มันไม่ใช่ แต่เราสามารถอธิบายอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้คนของเราสามารถอยู่รวมกันได้ เราไม่เน้นหาข้อเท็จจริงทางธรรมชาติ เราไม่เน้นในเรื่องตัวตน...
นักวิชาการสมัยก่อนไม่มีตัวตน แต่มุ่งที่การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างราบรื่น ในระยะหลังนี้มันได้มาทำให้เกิดกระบวนการทำให้เป็นวิทยาศาสตร์ มันจึงทำให้มีตัวตนขึ้นมา ความเป็นปัจเจกก็เกิดขึ้นมา
ชัยพันธุ์ ประภาสะวัต : การที่เราตามตะวันตก ทำให้เราต้องมีโรงเรียน เราต้องมีมหาวิทยาลัย แล้วราชการก็จะรับรองคนเหล่านั้น. ถามว่า คนอย่างพ่อหลวงจอนิ โอโดเชา ที่รู้เรื่องป่าไม ้เป็นนักวิชาการหรือเปล่า หรือพ่อทองเจริญ สีหาธรรม ที่รู้เรื่องประมงยิ่งกว่านักประมง เขาก็ไม่ได้จบมหาวิทยาลัย จะยอมรับเขาได้ไหม ? นอกจากนี้ยังมีครูชบ ยอดแก้ว อย่างนี้นะครับ
ศรีศักร วิลลิโภดม : อันนี้คือจุดอ่อนของสังคมที่มองว่าคนเหล่านี้คือคนที่ไม่มีความรู้ คือคนที่ไม่ใช่นักวิชาการ
ประมวล เพ็งจันทร์ : เพราะฉะนั้น การนิยามว่านักวิชาการคือคนที่มีความรู้ คือคนที่จบจากมหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษา จึงเริ่มเป็นปัญหาสำหรับสังคมไทย. คุณไชยณรงค์ครับ หลังจากฟังนักวิชาการ และคุณชัยพันธุ์ แสดงความคิดเห็นแล้ว คุณไชยณรงค์มีความคิดเห็นอย่างไร ? ต่อนักวิชาการครับ
ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ : ผมมี 3 ประเด็นที่จะมอง. ประการแรก อยากจะชี้ให้เห็นว่า พัฒนาการของเราซึ่งนำเอาองค์ความรู้ตะวันตกเข้ามา เกิดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4-5 โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง โดยที่ระบบเศรษฐกิจไทยได้ถูกผนวกกับทุนนิยมโลก. เราได้มีการส่งข้าราชการระดับสูง โดยเฉพาะในบรรดาศักดินาทั้งหลาย และเจ้าขุนมูลนายไปเรียน มีการไปเรียนเรื่องการผสมพันธุ์ข้าวบ้าง ปลูกปอ ปลูกมันบ้าง อันนี้ในด้านเกษตร, ส่วนทางด้านวิศวก็ไปเรียนเรื่องไฟฟ้าบ้าง. และก็กลุ่มคนเหล่านี้เมื่อเรียนจบกลับมา ก็ได้เข้าไปอยู่ในทบวงกรมต่างๆ ซึ่งมีอิทธิพลในการวางแผนพัฒนาประเทศมาโดยตลอด ในประวัติศาสตร์การพัฒนาของประเทศไทย.
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดก็คือ หลังจากที่เรามีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คือเมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว. ตรงนั้น มันไม่ใช่แค่เราส่งคนไปเรียน แต่ว่าเงื่อนไขการเข้ามาของทุนนิยมโลก ของการเข้ามาช่วยเหลือของประเทศโลกที่หนึ่งนี่ นอกจากการช่วยเหลือโครงการต่างๆแล้ว มันยังมีการช่วยเหลือในการตั้งสถาบันการศึกษาด้วย. ซึ่งอันนี้สำคัญมากครับ เพราะมันทำให้มีการผลิตคนที่มีความคิดที่เรียกว่าเป็นนักวิชาการขึ้นมาในสังคมไทย. มหาวิทยาลัยหลายที่ โดยเฉพาะ AIT ได้ผลิตวิศวกรซึ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ และวิศวกรเหล่านี้ก็คิดเป็นอย่างเดียวก็คือการสร้างเขื่อน หรือคณะวิศวฯ และวิทยาศาสตร์ต่างๆ ในมหาวิทยาลัยในภูมิภาคก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน.
แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ผมมองเห็นบรรดานักวิชาการเหล่านี้ ทั้งในส่วนทบวงกรม... นักวิชาการเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นผู้มีอำนาจในการที่จะอธิบายอะไรไดทั้งหมด แต่เป็นเพียงผู้ที่รับรอง หรือเป็นตัวกลไกในการดำเนินเรื่องหรือดำเนินโครงการต่างๆ
ประมวล เพ็งจันทร์ : นั่นหมายความว่า มีอำนาจอยู่เหนือนักวิชาการอีก
ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ : ผมคิดว่า ถ้าเราไปดูโครงการขนาดใหญ่ ชัดเจนว่า โครงการขนาดใหญ่นี่ เราอาจจะบอกว่าผ่านสภาพัฒน์ฯ ผ่านความเห็นชอบ. แต่ความจริง โครงการขนาดใหญ่ทุกโครงการ ถูกศึกษาโดยยักษ์ใหญ่ในวงการต่างๆ อย่างเช่น ถ้าในเรื่องการสร้างเขื่อน... ยักษ์ใหญ่ในการสร้างเขื่อนระดับโลกที่เข้ามาทำรายงานการศึกษาความเหมาะสม... อันนี้ชัดเจนมาก. เพราะฉะนั้น นักวิชาการที่ผลิตในประเทศไทย นักวิชาการที่อยู่ในทบวงกรมต่างๆนี่ จึงเป็นเพียงแค่ผู้ปฏิบัติตามเท่านั้นเอง. ผมเชื่ออย่างนั้นเพราะว่า ผมได้ย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ของโครงการขนาดใหญ่ มันไม่มีโครงการไหนที่มันคิดโดยนักวิชาการไทยจริงๆ แต่ว่าได้ผ่านบริษัท consultant หรือบริษัทที่ปรึกษาที่มาจากต่างชาติทั้งสิ้น.
อันที่สอง, นักวิชาการที่เราผลิตได้ ถ้าอธิบายบทบาทซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าพอจะมีส่วนอะไรบ้าง นอกจากปฏิบัติตรงนี้แล้ว ส่วนหนึ่งก็คือ บริษัทที่ปรึกษา ซึ่งไปศึกษาเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม... คือผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างที่เราเข้าใจกัน ไม่ใช่ศึกษาเพื่อที่จะนำไปประเมิน หรือไปคานโครงการนั้นๆ... แต่ว่าไปศึกษาเพื่อว่า จะแก้ปัญหาอย่างไร, นั่นหมายความว่า โครงการเหล่านั้นได้ตัดสินใจสร้างไปแล้ว เช่นตัดสินใจว่าจะสร้างเขื่อน แล้วก็ค่อยไปศึกษา. ทีนี้นักวิชาการไทย อย่างมากก็เข้าไปศึกษาการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเท่านั้น
ประมวล เพ็งจันทร์ : ตรงนี้ใช่ที่ อ.ศรีศักร พูดเมื่อสักครู่ไหมครับ ว่าจริงๆแล้ว นักวิชาการที่มาจากตะวันตก หรือถูกครอบงำโดยตะวันตก คือเชื่อมั่นว่าตัวเองควบคุมธรรมชาติได้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีอะไรสักอย่างหนึ่ง ก่ออะไรเกิดขึ้นตามมา เขาคิดว่าจะควบคุมได้ เช่น เขาจะกั้นแม่น้ำให้เป็นเขื่อน แล้วบอกว่า... มีข้อโต้แย้งว่า ปลามันจะไม่มีที่วางไข่ หรือไม่สามารถที่จะขึ้นมาวางไข่ได้. พวกนี้ก็บอกว่า จะสร้างบันไดให้ปลาขึ้นมาวางไข่ได้ |