eng homeabout usmekong riversalween rivermun riverthai baan researchpublication
 

ทรรศนะ

"เขื่อนคือซากศพเศรษฐกิจการค้า…
การรื้อ หรือทุบ หรือเปิดน้ำในเขื่อนปากมูลออก มันเป็นสัญลักษณ์ก้าวแรกว่าเราจะเดินทางใหม่"

เกษียร  เตชะพีระ

 บทรายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการอภิปรายของเกษียร  เตชะพีระ นักวิชาการแห่งมหาวิทยาธรรมศาสตร์ ในการสัมมนาคนจนกับ ทางออกของสังคมไทย ซึ่งจัด ณ หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน ริมสันเขื่อนปากมูล เมื่อวันที่ 20-21 เมษายน 2543 โดย สมัชชานักวิชาการ เพื่อคนจน  มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน  สถาบันเพื่อสิทธิชุมชน  และเครือข่ายแม่น้ำเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ กองบรรณาธิการขอขอบคุณ คุณชูวัส ฤกษ์ศิริสุข ที่กรุณาส่งบทความชุดทุบเขื่นอเพื่อชาติมาให้เผยแพร่  กองบรรณาธิการเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ที่ไม่ได้มี โอกาสเข้าร่วมการสัมมนาดังกล่าว จึงได้นำมาตีพิมพ์โดยได้ทำการตัดต่อให้เหลือเฉพาะการอภิปรายของเกษียรเท่านั้น

                "ผมอยากจะเล่าเรื่องคนจนโดยผ่านการเล่าเรื่องน้ำ โดยเฉพาะแม่น้ำมูลที่เห็นอยู่นี้ ในกรอบของความคิดเรื่องเศรษฐกิจพอ เพียง เศรษฐกิจการค้า ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำรัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อปี 2539 โดยจะพูดเรื่อง คนจนเป็น 3 ตอน คือตอนที่น้ำมูลก่อนมีเขื่อน ตอนที่สองคือ น้ำมูลหลังมีเขื่อนแล้ว และน้ำมูลต่อจากนี้หากไม่ทุบเขื่อน"

                "ผมคิดว่าน้ำมูลก่อนมีเขื่อนปากมูล เป็นทรัพยากรของเศรษฐกิจพอเพียง คือ มีน้ำ มีปลา ซึ่งหมายถึงมีความชอุ่ม มีพืชผักนาไร่ มีสิ่งเหล่านี้ก็มีฐานให้สร้างชีวิต มีครอบครัว มีหมู่บ้าน มีชุมชน และก็มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องทำอยู่ทำกิน ผมเคยอ่านรายงานว่า พ่อใหญ่ บางคนของหมู่บ้านในลุ่มน้ำนี้สามารถจำชื่อปลาได้เป็นร้อยๆ ชนิด จากจำนวน 250 กว่าชนิด นี่เป็นความรู้ เป็นทุนทางสังคม ความ เอื้ออารีต่อกัน การรู้จักอยู่ รู้จักการแก้ไขปัญหา เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทุนทางธรรมชาติเหล่านี้หมดไปพร้อมกับเขื่อน"

                "เมื่อมาดูน้ำมูลโดยที่มีเขื่อนอันเบ้อเริ่มขวางอยู่ อย่างที่เห็นตอนนี้ น้ำมูลไม่ใช่ทรัพยากรของเศรษฐกิจพอเพียงอีกต่อไป มันกลายเป็นทรัพยากรของเศรษฐกิจการค้า พร้อมกับมีเขื่อน เศรษฐกิจการค้าได้เข้ามาอิง มาชิง โดยที่ชาวบ้านแถวนี้มิได้ยินยอม มาปล้นเอาทรัพยากรจากเศรษฐกิจพอเพียงไป หรือพูดให้ถึงที่สุดก็คือ เขื่อนปากมูลนั้นบ่อนทำลายเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง"

                "ในกระบวนการบ่อนทำลายเศรษฐกิจพอเพียงของเขื่อนปากมูล ได้สร้างคนจนขึ้นจำนวนมาก จริงอยู่ที่มีคนจนในทุก ประเทศ ในประเทศพัฒนาก็มี แต่จนแต่ละที่นั้น จนคนละแบบไม่เหมือนกัน จนแบบไทยๆ หรือจนแบบประเทศกำลังพัฒนาที่ไปรับ เงินกู้จากธนาคารโลกนั้น เป็นการจนแบบกระบวนท่าพิเศษ คือจนในท่ามกลางการพัฒนา ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วจน หรือพูดให้ชัดๆ ก็คือ เราจนเพราะถูกพัฒนา"

                "การพัฒนาฟังแล้วดูดี แต่ที่เอามาใช้ในเมืองไทยมันเป็นกรรมอย่างหนึ่ง คนที่ถูกการพัฒนาไปเยี่ยมบ้าน ก็คือคนที่โดนห่าลง ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อไรก็สิ้นเนื้อประดาตัว ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อไร ก็คือถูกทำลายฐานเศรษฐกิจพอเพียง ตอนนี้รู้ชื่อปลามีประโยชน์อะไร เพราะไม่มีปลาให้จับ และที่มันน่าอนาถก็คือว่า คนที่ชี้วัด ก็จะมาในนามว่า ทำเถิด เฮ็ดเขื่อนใหญ่ๆ หลายๆ ชาติจะพัฒนา จะยิ่งใหญ่ เขื่อนก็เหมือนวัด เหมือนวิหารของประเทศไทยสมัยใหม่ สร้างเขื่อนแล้วชาติไทยจะพัฒนา คือเป็นชาตินิยมเขื่อนใหญ่"

                "วิธีคิดแบบนี้ก็เพราะเริ่มต้นจากที่ว่า พอเอาน้ำมูลที่เคยให้ชาวบ้านใช้จับปลา ใช้ทำอยู่ทำกินไปทำเป็นพลังงานไฟฟ้า ไปเข้า โรงงาน ไปผลิตสินค้าแล้วขาย ประเทศชาติจะพัฒนา รู้ได้อย่างไรว่าพัฒนา ก็วัดเอาจากสินค้าที่ผลิตมามีกี่ชิ้น แล้วกี่บาท ก็คูณเข้าไป หารเป็นกี่ดอลลาร์ เสร็จแล้วก็พบว่า

                "ฉิบหาย บ้านเราโคตรรวยเลย ที่มันวัดได้ เพราะคุณวัดแบบนั้น แต่ที่ชาวบ้านฉิบหายนั้น มันวัดไม่ได้ เพราะไม่เคยวัด…"

                "ทั้งหมดที่ชาวบ้านเสียไป พ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน มีพ่อแม่คนไหนในโลกที่อยากจะให้ลูกไปคุ้ยกองขยะที่ดอนเมือง มีพ่อคน ไหนที่อยากจะทิ้งลูกทิ้งเมียไปหางานทำไกลๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าลูกจะเป็นอย่างไร.."

                "พอพูดแล้วมันทำให้คนที่มีอำนาจอยู่ในรัฐบาลฟังยาก เพราะพอพูดทีไรก็จะบอกว่า ชาวบ้านปากมูลตรงนี้มีกี่คน ประเทศ ไทยมีตั้ง 50 ล้าน 60 ล้านคน เพราะฉะนั้น คุณเป็นคนส่วนน้อย จงเสียสละเถิดเพื่อเห็นแก่ชาติ"

                "เอาแผนที่ประเทศไทยมาวาด ปากมูลเล็กกว่าชาติ จงเสียสละเถิด ไปที่ลำตะคองจงเสียสละเถิดเพื่อเห็นแก่ชาติ ไปที่ราษี ไศล จงเสียสละเถิดเพื่อเห็นแก่ชาติ ไปที่ไหนก็จะพูดอย่างนี้ตลอด ประทานโทษ คุณหั่นคนเหล่านี้หมดไป ผมอยากจะรู้ว่าชาติคุณ อยู่ตรงไหน ชาติคุณหมายถึงใคร หรือเอาเข้าจริงๆ ชาติคุณมีไหม"

                "คุณไล่คนแต่ละท้องที่ออกไปแล้วนับว่าเขาไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของชาติ มันก็พูดได้ไม่จบ พูดไปได้เรื่อยๆ แต่ประเด็นก็คือ ว่าที่คุณทำไปทั้งหมด มันกำลังทำลายชาติ ยิ่งทำเศรษฐกิจสินค้าให้ใหญ่ให้โต ยิ่งบ่อนทำลายเศรษฐกิจพอเพียงลงไป ชาติไทยก็ยิ่งฉิบ หายลงไปอีก"

                "ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 2-3 ปีก่อนนั้นชัดที่สุด แต่บทเรียนนั้นก็จะไม่เคยเรียน มีความจริง 3 อย่างเกี่ยวกับเศรษฐกิจสินค้า ที่ผมคิดว่าเราควรจะตระหนัก หนึ่ง คือ เศรษฐกิจการค้าบริโภคทรัพยากรสิ้นเปลืองมาก สอง เพราะมันเปลืองทรัพยากรมหาศาลมันจึง บ่อน ทำลายทรัพยากรของเศรษฐกิจพอเพียงอยู่แล้วในตัว และสาม เมื่อมันบริโภคมากอย่างนั้น มันบ่อนทำลายชาวบ้านที่อยู่กันอย่าง พอเพียงอย่างนี้แล้ว เศรษฐกิจสินค้าอยู่ดีๆ มันยังจนเองอีก เพราะคนมันโลภ มันอยู่เฉยมันก็เจ๊งเหมือน 2-3 ปีก่อน"

                "เพราะเศรษฐกิจการค้ามีลักษณะเหล่านี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคุมเศรษฐกิจการค้า จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาคคนจน ภาค เศรษฐกิจพอเพียง จะต้องมีส่วนในอำนาจสาธารณะ อำนาจการเมือง เพื่อไปดึงเศรษฐกิจการค้าไว้ ไม่ให้มันไปกำเริบร่าน พล่าน และทำลายชาติลง ประเด็นมันไม่ใช่ว่าจะลดอำนาจภาครัฐแล้วเอาไปให้ภาคประชาชน ผมว่าประเด็นมันยิ่งกว่านั้นอีก"

                "โดยตัวภาคธุรกิจเอกชน ภาคเศรษฐกิจการค้านั้นมันจะทำลายเศรษฐกิจพอเพียง เพราะโดยตัวมันเองมีวิกฤติอยู่ในตัวมันเอง ทางเดียวที่จะหยุดมันตรงนั้นได้ ภาคคนจนจะต้องมีอำนาจการเมือง และมีอำนาจเข้าไปหยุดมันด้วย อำนาจตรงนั้นเป็นอำนาจ สาธารณะ เป็นอำนาจการเมือง ปฏิเสธตรงนั้นไม่ได้ ทุกวันนี้ไม่มีใครจะหยุดความอยากกำไร ความโลภตรงนั้น และเพราะไม่มีใคร จะหยุด ระบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็จะกุมทรัพยากร ก็จะไล่คนที่เคยอยู่อย่างพอเพียงออกจากทรัพยากรของเขา และในที่สุด ก็จะนำไปสู่ วิกฤติอีกไม่รู้จบ"

                "สินค้าที่ผลิตขึ้นมาจากเศรษฐกิจการค้าเหล่านั้นเอามาทำไม ก็เอามาขาย พอถึงจุดนี้ประเด็นที่คุยมาทั้งหมด ดูเหมือนปัญหา มันจะรวมศูนย์ไปอยู่ที่รัฐบาลหรือภาครัฐ อันนี้ผมเห็นด้วย ผมคิดว่าโครงสร้างอันหนึ่งที่เป็นปัญหาต่อคนจนในเมืองไทยมากคือภาค รัฐที่ทำการพัฒนาแบบรวมศูนย์"

                "ขณะที่เราพูดถึงภาครัฐ มันมักจะมีการพูดถึงภาคอื่นควบคู่กันมาใน 4-5 ปีมานี้ คือภาคประชาสังคม และก็พูดราวกับว่าภาค ประชาสังคมคือคำตอบ คือความหวังที่จะเป็นกุญแจสารพัดนึก เป็นโอสถสารพัดนึก กินเข้าไปแล้วจะหายป่วย คนจนจะหายจน ผมคิดว่า ไม่แน่นะครับ และผมก็คิดด้วยว่า ไม่เพียงแต่รัฐเท่านั้นที่เป็นปัญหาของคนจน ประชาสังคมก็เป็นปัญหาของคนจนด้วย"

                "ประชาสังคมเป็นปัญหาของคนจนอย่างไร พูดให้ถึงที่สุด ประชาสังคมที่พูดๆ และใช้กันอยู่ในเมืองไทย เราหมายถึงคน กรุง คือคนชั้นกลางที่อยู่ในกรุง คนเหล่านี้มีสองอย่างที่คนไทยไม่มี คือ หนึ่ง อำนาจที่จะซื้อ สอง เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีมาตรา หนึ่งบอกว่าเมืองไทยจะต้องดำเนินเศรษฐกิจแบบเสรี โดยมาตรานี้คนชั้นกลางในกรุงจึงไม่เพียงแต่จะมีเงิน มีอำนาจซื้อ แต่ยังมีเสรี ภาพที่จะบริโภคด้วย"

                "ภายใต้ระบบแบบนี้ คนชั้นกลางถ้าไม่คิดให้ดี เอาเข้าจริงก็เหมือนกับยักษ์ที่เดินกร่างเข้ามาสู่พื้นที่เศรษฐกิจพอเพียงต่างๆ ในชนบท มือซ้ายกำธนบัตร มือขวากำเสรีภาพที่จะบริโภค แล้วก็ซื้อ ซื้อ ซื้อ กิน กิน กิน แล้วเมืองไทยก็หมดทรัพยากร"

                "ผมคิดว่ามีทรัพยากรบางอย่าง ได้แก่ ลุ่มน้ำ ที่ดิน ป่าไม้ สำคัญกับคนจน และสำคัญสำหรับชาติไทยของเราเกินกว่าที่จะปล่อย ให้ทรัพยากรเหล่านี้กลายเป็นสินค้าที่ใครมีเงินก็ซื้อได้โดยเสรี ใครมีเงินก็ถือครองที่ดินได้โดยไม่จำกัด ร้อยไร่ พันไร่ หมื่นไร่ เราปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้"

                "ต้องจำกัดอำนาจที่จะซื้อ เสรีภาพที่จะบริโภคของคนชั้นกลางและคนมีอำนาจเหล่านั้นในสังคมไทยต่อทรัพยากรบางอย่าง ที่สำคัญต่อคนจน อันนี้ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ต่อคนจนโดยแคบ แต่เพื่อชาติไทยโดยรวม มีของบางอย่างที่สำคัญต่อชาติไทยเราเสีย จนกระทั่งคุณปล่อยให้ทุกคนมาซื้อไม่ได้"

                "ตอนนี้กำลังเตรียมจะเข็นน้ำเข้าตลาด และขายน้ำให้กับคนที่มีอำนาจซื้อและมีเสรีภาพที่จะบริโภคน้ำ ธรรมชาติของน้ำจะ ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ แต่น้ำที่เข้าตลาดจะไม่ไหลอย่างนั้น น้ำที่กลายเป็นสินค้าจะไหลตามอำนาจซื้อ มันจะไหลจากที่ๆ อำนาจซื้อต่ำ ไปสู่ที่ๆ มีอำนาจซื้อสูง คือไหลจากที่นี่ไปสู่ที่นั่น"

                "คนจนในเมืองไทยถ้าปล่อยให้มีการเก็บค่าน้ำชาวนา ที่เป็นก้าวแลกไปสู่การทำให้น้ำเป็นสินค้า คนจนจะเอื้อมไม่ถึงน้ำ และน้ำก็ไม่เหมือนรถเบนซ์ ที่ไม่มีก็โหนรถเมล์ทนร้อนได้ แต่น้ำเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่มนุษย์ทุกคนต้องมี มันพื้นฐานกว่า เรื่องศักดิ์ศรีด้วยซ้ำ ไม่มีน้ำเราตายแน่นอน และเงื่อนไขธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย ที่เสนอให้รัฐบาลไทยด้วยการเอาเงินกู้มาแลก นั้น ถ้าเราปล่อยอันนี้ ฉิบหายนะครับ"

                "ถ้าจะหยุดมัน เขื่อนปากมูลก็เป็นสัญลักษณ์ที่ดี ไม่ใช่เฉพาะเขื่อนปากมูล เขื่อนจำนวนมากในเมืองไทยเรา คิดให้ดีมันก็คือ ซากศพของเศรษฐกิจการค้า มันเป็นพยานความล้มเหลวที่เดินมา 40 ปี สร้างขึ้นมาคุ้มไหม บอกจะผลิตๆ ไฟฟ้า ผลิตได้เท่าไร บอกจะ แก้ปัญหาชลประทาน แล้วได้ทำจริงหรือเปล่า บอกจะเพิ่มจำนวนปลาแล้วมีไหม เปิดเขื่อนหรือทุบเขื่อนอันนี้ทิ้ง จึงสำคัญตรงนี้"

                "มันไม่ใช่แค่ทำให้ชาวบ้านได้มีปลาใช้ต่อ ปมมันอยู่ตรงนี้ คือชาติไทย ที่ไม่ได้มีแต่เพียงผู้มีอำนาจ แต่คือคนไทยทั้งหมด คนชั้นกลางในเมือง คนทั้งหลายหรือพวกเราทั้งหมด ที่ร่วมเดินทางผิดมา 40 กว่าปี พร้อมจะรับไหมว่ามันผิด ถ้ารับว่ามันผิด การรื้อ หรือทุบ หรือเปิดน้ำในเขื่อนปากมูลออก มันเป็นสัญลักษณ์ก้าวแรกว่าเราจะเดินทางใหม่ ทางนี้เราเดินต่อไปไม่ได้ เดินต่อไป ชาติจะฉิบหาย และที่ฉิบหายก็คือ ลูกหลานของเราข้างหน้า"

"ผมอยากเก็บเมืองไทยให้เป็นที่อยู่ที่ทำกินของลูกผมข้างหน้า และผมไม่อยากให้เมืองไทย เป็นที่ที่คนไม่มีน้ำ ขาดน้ำ อดน้ำตาย เพราะว่าเขาจน ผมคิดว่าการทุบเขื่อนมันจึงสำคัญต่อความเป็นไปทั้งหมด ไม่เฉพาะแต่คนจน"

 
 

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต   138/1 หมู่ 4 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่   50200
Living River Siam Association  138 Moo 4, Suthep, Muang, Chiang Mai, 50200   Thailand
Tel. & Fax.: (66)-       E-mail : admin@livingriversiam.org

ข้อมูลในเวปนี้สามารถนำไปเผยแพร่ได้โดยอ้างอิงแหล่งที่มา