แถลงการณ์สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.)
ประนาฌปฏิบัติการณ์อันป่าเถื่อนทำร้ายประชาชน
รัฐบาลต้องดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำ
รัฐต้องเปิดประตูเขื่อนปากมูนตามผลการศึกษาของคณะกรรมการฯที่รัฐแต่งตั้งขึ้น
สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2545 เวลาประมาณ 3 นาฬิกา
ได้มีชายฉกรรจ์จำนวน 33 คนพร้อมอาวุธครบมือ ได้ปฏิบัติการอันป่าเถื่อน
เข้าทำลายสิ่งของ รื้อเต้น
ยึดแผ่นป้าย
ของชาวบ้านผู้เดือดร้อนจากการสร้างเขื่อนปากมูลซึ่งชุมนุมกันอย่างสงบด้วยแนวทางสันติวิธีอยู่ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดประตูเขื่อนปากมูลฟื้นฟูลุ่มน้ำมูลให้อุดมสมบูรณ์
สังคมไทยปกครองโดยระบบประชาธิปไตยมิใช่การปกครองโดยระบบเผด็จการอำนาจนิยม ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมเรียกร้องเพื่อให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนได้อย่างถูกต้องชอบธรรม ซึ่งมีรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศยืนยันสิทธิการชุมนุม
ดังนั้นปฏิบัติการณ์อันป่าเถื่อนที่เกิดขึ้นครั้งนี้
ไม่ว่าเป็นการกระทำของใครหรือกลุ่มใดก็ตาม
จึงเป็นการกระทำที่หลงยุคหลงสมัย การเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจาก
การสร้างเขื่อนปากมูนมีมาหลายรัฐบาล
ก็เนื่องมาจากการสร้างเขื่อนปากมูนนั้นไม่คุ้มค่าซึ่งเหมือนข้อเสนอของคณะกรรมการเขื่อนโลก
แม้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตจะอ้างว่าเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าก็ตาม
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและด้านสังคมแล้วยังได้ไม่คุ้มเสีย
เพราะผลิตกระแสไฟฟ้านั้นได้เพียง1ใน3เท่านั้นจากจำนวน 126 เมกะวัตต์ ขณะที่ประเทศไทยมีพลังงานไฟฟ้าเหลือใช้เพียงพอไม่ต่ำกว่า 5 ปี
อย่างไรก็ตาม ต่อมาสมัยรัฐบาลทักษิณได้แต่งตั้งคณะวิจัยผลกระทบจากการสร้างเขื่อนปากมูล
เพื่อนำความรู้จากผลงานวิจัยมาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจของรัฐบาล โดยให้มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
เป็นทีมหลักในการวิจัย และนายปองพล อดิเรกสาร รองนายรัฐมนตรี
เป็นผู้รับผิดชอบและได้นายปองพลกลับได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ปิดเขื่อนและเปิดเพียง 4 เดือนซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนที่ต้องเปิดอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน
ชาวบ้านได้เสนอให้มีการเปิดประตูระบายน้ำเขื่อนปากมูนทั้ง 8 บาน
ตลอดปีอย่างถาวร
เป็นการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศแม่น้ำมูนที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน
อีกทั้งฟื้นฟูชีวิตชุมชนชาวบ้าน
ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ต่อประเด็นการเปิดประตูระบายน้ำ
ซึ่งผลการศึกษาพบว่า
การเปิดประตูน้ำถาวรไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบการจ่ายกำลังไฟฟ้าในภาคตะวันตกเฉียงเหนือตอนล่าง
และไม่ส่งผลกระทบด้านชลประทาน
อีกทั้งมีการพบพันธุ์ปลา 184 ชนิด ที่สำคัญการปิดประตูถาวร
การเปิดประตูบางช่วงและการปิดบางช่วงเวลาจะส่งผลต่อระบบนิเวศ
เศรษฐกิจและวิถีชิวิตของชุมชน มีเพียงการเปิดประตูระบายน้ำตลอดปีเท่านั้นที่จะทำให้ฟื้นฟูระบบนิเวศ
เศรษฐกิจและวิถีชีวิตของชุมชนได้
แต่รัฐบาลกลับไม่สนใจใยดีกับ
องค์ความรู้ที่ได้จากผลการศึกษาจึงไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจเพื่อแก้ไขปัญหาของชาวบ้านแต่อย่างใด การเคลื่อนไหวของชาวบ้านปากมูลในครั้งนี้
รัฐบาลได้ละเมิดรัฐธรรมนูญไม่ยอมรับกระบวนการมีส่วนร่วม
ไม่ฟังความรู้จากผลงานวิจัยที่รัฐบาลเป็นผู้เห็นว่าน่าจะเป็นทางออกต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่ผ่านมาแล้ว รัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีกลับมีท่าทีเมินเฉยและกล่าวบิดเบือนต่อสาธารณชนว่าเป็นการสร้างผลงานของ
การเคลื่อนไหวเป็นท่าทีเก่าๆที่ทุกรัฐบาลหยิกยกมาอธิบายที่หยาบสามานต์เหมือนเคย
โดยมิได้หยิบยกเนื้อหาองค์ความรู้ผลงานวิจัยที่รัฐบาลเสนอเองมาเป็นอำนาจในการตัดสินใจ รัฐบาลก็ยังคิดเก่าทำเก่า
เช่นเดิม ขณะเดียวกัน ชาวบ้านเองในฐานะผู้ดำรงชีวิตอยู่ในพื้นที่และเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง
ก็ได้มีงาน วิจัยไทบ้าน ขึ้นเช่นกัน ซึ่งผลการศึกษากล่าวอย่างสรุปรวบรัดได้ว่า
ด้านระบบนิเวศน์
ปลา และพรรณพืช ก่อนสร้างเขื่อนปากมูน
ซึ่งแม่น้ำมูนถือเป็นแม่น้ำที่
อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของประเทศไทยนั้น
มีพันธุ์ปลามากถึง 265 ชนิด แต่ภายหลังจากการสร้างเขื่อนเหลือปลาอยู่เพียง 43 ชนิด มีสาเหตุมาจากปลาไม่สามารถอพยพผ่านบันไดปลาโจรได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการระบาดของศัตรูของปลา
เช่น เห็บปลา หอยคัน
ผักตบชวา นอกจากนี้แล้วการระเบิดแก่งทำให้ป่าและพรรณพืชซึ่งเป็นอาหาร
ที่อยู่อาศัย
และวางไข่ของปลาต้องสูญหายไป
ขณะที่การเปิดประตูเขื่อน
กลับพบว่า มีพันธุ์ปลาถึง 156 ชนิด ปลาที่พบยังเป็นปลาที่หายากและใกล้สูญพันธุ์
เช่น ปลาบึก
ปลาตองกราย ปลาบู่หิน
ปลาแข่หิน และปลาเอี่ยนหู รวมทั้งแม่น้ำสะอาดขึ้น
ผักตบชวา เห็บปลา และหอยคัน หายหมดไป
ด้านสังคม
เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ก่อนสร้างเขื่อนปากมูน ชุมชนมีหลักประกันความมั่นคงในมิติต่างๆที่ทำให้ชุมชนสามาราถพึ่งตนเองได้จากฐานทรัพยากรแม่น้ำมูน
เช่น ความมั่นคงด้านอาหาร
ความมั่นคงทางสุขภาพ
และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
แต่ภายหลังจากการสร้างเขื่อน
ชุมชนกลับมีหนี้สินกันทุกคน ร้อยละ 40 ต้องส่งลูกไปทำงานต่างประเทศ จึงไร้ซึ่งหลักประกันความมั่นคงของชีวิต แต่ภายหลังจากการเปิดประตูเขื่อนกลับพบว่า ชาวบ้านจำนวนถึง 6,915 ครัวเรือนได้กับมาหาปลาอีกครั้งหนึ่งและเป็นอาชีพและแหล่งรายได้หลัก ในช่วงที่ปลาใหญ่ขึ้นมีรายได้มากกว่า 400 บาทต่อวัน และช่วงปกติประมาณ 200-300 บาทต่อวัน ที่สำคัญยังทำให้แรงงานอพยพที่ไปทำงานต่างถิ่นตัดสินใจกลับบ้านเมื่อกลับมาแล้วมีความมั่นใจ
ว่ามีหลักประกันความมั่นคง
จากที่กล่าวมาทั้งหมด
เราในนาม
สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ(สกน.) ซึ่งเป็นองค์ของประชาชนภาคเหนือ
ขอแถลงและเรียกร้องต่อรัฐบาลดังนี้
1.ขอประนาฌปฏิบัติการณ์อันป่าเถื่อนในครั้งนี้
2.รัฐบาลต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อการกระทำของกลุ่มบุคคลและผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัตการณ์อันป่าเถื่อน
มาลงโทษตามกฎหมายโดยเร่งด่วน
มิฉะนั้นทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดได้ว่าเป็นการกระทำของรัฐบาลหรือลิ่วล้อของรัฐบาลเสียเองก็ได้
3.รัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี
ต้องยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่ให้มีการปิดประตูเขื่อนปากมูน
และให้มีการเปิดประตูเขื่อนปากมูนเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้อุดมสมบูรณ์ มิฉะนั้นถือได้ว่ารัฐบาลชุดนี้มิได้ใช้องค์ความรู้ในการแก้ไขปัญหา
เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณภาษีประชาชนจำนวนถึง
10 ล้านบาท
ในการให้คณะวิจัย
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ศึกษาผลกระทบการสร้างเขื่อนปากมูน
เมื่อผลการวิจัยมีข้อเสนอที่สำคัญให้เปิดประตูเขื่อนปากมูน แต่รัฐบาลกลับไม่ได้นำองค์ความรู้มาแก้ไขปัญหา
แต่กลับบิดเบือนข้อเสนอเสียเอง
และถ้ารัฐบาลยืนยันให้มีการปิดประตูเขื่อนปากมูนก็เท่ากับว่า
รัฐบาลแก้ไขปัญหาประชาชนโดยมีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่
หรืออยู่ภายใต้การครอบงำของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ด้วยความเชื่อมั่นพลังประชาชน
สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) |