eng homeabout usmekong riversalween rivermun riverthai baan researchpublication
 

แถลงการณ์คณาจารย์นิติศาสตร์ เกี่ยวกับ

การดำเนินคดีกับผู้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญโดยสันติวิธี

แม้รัฐบาลจะอ้างว่ามีความจำเป็นที่จะต้องรักษาหลักการและยืนยันที่จะต้องดำเนินคดีกับกลุ่มสมัชชาคนจน ที่มาใช้สิทธิโดย สันติวิธีอย่างอดทนตามรัฐธรรมนูญ ในข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการในเวลากลางคืน และข้อหามั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไปเพื่อ ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ดังที่มีเสียงวิพากษ์/ประจานการกระทำอันไม่มีความชอบธรรมดังกล่าวกันอย่างแพร่หลาย

ในท่ามกลางชะตากรรมของบ้านเมือง ในท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจและในท่ามกลางบรรยากาศในทางการเมืองที่รัฐบาลไร้ การถ่วงดุล สภาพเช่นนี้ได้ผลักให้ผู้คนจำนวนมากต้องยอมจำนน และผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยอยู่ในสภาวะที่ไม่มีทางเลือก หากแต่จำต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตให้รอด จำต้องกระทำเพื่อลูก เพื่อครอบครัว และเพื่อชุมชนท้องถิ่น ความทุกข์ความเดือดร้อน เช่นที่มีปรากฎให้เห็นกันทั่วหัวระแหง ภาวะเช่นนี้ต้องการรัฐบาลและกลไกของรัฐที่เป็นที่พึ่งของประชาชน เข้าใจและรู้สึก ไวต่อปัญหาของประชาชน รัฐบาลและกลไกของรัฐเช่นนี้ต่างหากที่จะทำให้เกิดความร่วมมือในการแก้ปัญหาสำคัญของชาติ ซึ่งใหญ่เกิน ความสามารถของรัฐบาลที่จะดำเนินการโดยลำพังโดยไม่ฟังเสียงและแสวงหาความร่วมมือจากประชาชน

การเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลของสมัชชาคนจนเมื่อคราที่มาเรียกร้องและทวงถามการแก้ปัญหาจากรัฐบาล แต่กลับได้รับการ ปฎิบัติจากรัฐบาลเยี่ยงมิใช้พลเมืองไทยทั้งการใช้ความรุนแรงในการทำร้ายเพื่อสลายการ ชุมชุนและการยัดเยียดข้อหาตาม กฎหมายอาญาให้ การกระทำทั้งหมดของรัฐบาลเป็นการใช้อำนาจที่เป็นการละเมิดต่อหลักนิติธรรม ขัดต่อบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญ ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนสากล และเป็นการใช้อำนาจรัฐในการดำเนิน คดีทางอาญาที่ขัดต่อหลักความรับผิดในทางอาญา

พวกเราดังที่มีรายนามท้ายแถลงการณ์นี้ในฐานะอาจารย์ผู้สอนวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ใคร่ขอเรียกร้องต่อ รัฐบาลไทยและกลไกของรัฐให้ดำเนินการดังต่อไปนี้

๑. ให้ยุติการใช้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นเครื่องมือในทางการเมืองเพื่อทำร้ายประชาชนผู้ใช้สิทธิตาม รัฐธรรมนูญ กระบวนการยุติธรรมจะต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนและควรทำหน้าที่เป็นเสาหลักให้กับสังคม ดังนั้น รัฐบาลที่อ้างว่ามาจาก การเลือกตั้งไม่พึ่งปฎิบัติหรือกระทำการใดๆที่ดึงเอากระบวนการยุติธรรมทางอาญามาข่มขู่ประชาชน เพื่อรักษาเสถียรภาพ ของพรรคการเมืองซึ่งเป็นรัฐบาล โดยไม่เคารพต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน

๒. ให้ยุติการกระทำที่เป็นการบิดเบือน และยั่วยุทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยการใช้สื่อในการทำการโฆษณาชวน เชื่อเพื่อทำให้ เกิดการเกลียดชังต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการของรัฐการที่รัฐบาลตั้งคณะกรรมการกลาง เพื่อแก้ไขปัญหา สมัชชาคนจน และการที่รัฐบาลออกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๓ เป็นการยอมรับโดยจำนนต่อข้อเท็จ จริงที่ปรากฎให้เห็นเป็นประจักษ์แล้วว่า ประชาชนผู้ที่มาใช้สิทธิใน การเรียกร้องตามรัฐธรรมเพื่อให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา เป็น ผู้ที่ได้รับความเดือดจริงและไม่มีช่องทางอื่นใดอีกแล้วทั้งในทาง กฎหมายและช่องทางต่างๆของระบบ ราชการในการแก้ไข เยียวยาความทุกข์ร้อนอันเกิดจากการกระทำของรัฐนอกจากการ เรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นผู้นำสูงสุดของ ฝ่ายบริหารที่จะต้องแก้ไขปัญหาโดยไม่อาจที่จะบ่ายเบี่ยงหรือหลบ เลี่ยงปัญหา

๓. พวกเราขอยืนยันว่าทั้งในทางกฎหมาย ในทางการเมืองการปกครอง และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประชาชนผู้ที่มาเรียกร้องโดยสันติวิธีมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะกระทำเช่นนั้น เพราะเป็นการเรียกร้องตามระบอบการเมืองแบบ ประชาธิปไตย แต่การกระทำของรัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาและใช้กระบวนการยุติธรรมทางอาญามาเป็น เครื่อง มือในการแก้ปัญหาเป็นการกระทำที่จงใจปัดความรับผิดชอบและผลักให้สังคมเห็นว่าประชาชนที่ได้ รับความเดือดร้อนเป็น อาชญากรที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย รัฐบาลที่ดีไม่ควรที่ใช้วิธีการในทางกฎหมายโดยเจตนาทุจริตป้ายสีและยัดเยียดข้อหาความ ผิดเล็กน้อยมา ลบล้างสารัตถะอันสำคัญแห่งสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอันได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ เหมือนดัง ที่นักกฎหมายที่ไร้ซึ่งจรรยาบรรณและจริยธรรมนิยมประพฤติปฎิบัติ

๔. กล่าวโดยเฉพาะสำหรับปัญหาในทางคดีของประชาชนจำนวน ๒๒๕คนที่มาเรียกร้องและใช้สิทธิมารัฐธรรมนูญ เป็น ความผิดพลาดของรัฐบาลที่เลือกใช้เครื่องมือในทางกฎหมายอาญาในการเริ่มต้นจัดการกับปัญหาของสมัชชาคนจน ซึ่งแตก ต่างไปจากการแก้ปัญหาของกลุ่มอื่นๆ ทั้งนี้เพราะตามวัตถุประสงค์ของกระบวนการยุติธรรมทางอาญามุ่งต้องการที่จะลงโทษ และปรับพฤติกรรม การ กระทำทั้งหลายที่มีลักษณะเป็นการกระทำที่เกิดจากจิตใจอันชั่วร้าย มีพฤติกรรมเป็นอาชญากรรม ร้ายแรง เท่านั้น การมาเรียกร้องเพื่อให้รัฐบาลทำหน้าที่ก็ดี การเรียกร้องเพื่อเข้า ไปมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการที่จะจัดการ ดูแลรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็ดี การเลือกแนวทางในการดำรงชีวิตบนวิถีทางเศรษฐกิจ พอเพียงอันจำต้องรักษาชุมชน และทรัพยากรพื้นฐานก็ดี ไม่สมควรที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็น “อาชญากรรม” และยิ่งไปกว่านั้น ด้วยข้อจำกัดและความกระด้างของมาตราการในทางอาญาซึ่งมุ่งเน้นการใช้ความรุนแรงด้วยวิธีการต่างๆ สังคมไทยได้รับบท เรียนครั้งแล้วครั้งเล่าจากการที่รัฐบาลเลือกใช้มาตราการในทางกฎหมายอาญาเพื่อรักษา เสถียรภาพของตนโดยที่ประชาชน ตกเป็นเหยื่อการใช้ความรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง และในประการสำคัญตามหลักความรับผิดในทางอาญา การพิจารณาว่าการกระทำ ใดสมควรที่จะพิจารณาว่าเป็น ความผิดหรือไม่ และควรจะเป็นความผิดในข้อหาใดนั้นจะต้องพิจารณาจาก เจตนาของผู้ กระทำเป็นสำคัญ สำหรับในกรณีของประชาชนจำนวน ๒๒๕ คนซึ่งชุมชุมบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องให้ รัฐบาลแก้ปัญหา แต่ได้รับการปฎิเสธทำให้ ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งได้เข้าไปในบริเวณทำเนียบรัฐบาล อันเป็นสถานที่ซึ่งมีหน้าที่ที่ จะต้องแก้ปัญหาให้กับประชาชน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเจตนาในการเข้าไปดังกล่าวมิได้เข้าไปเพื่อต้องการที่จะถือการครอบ ครอง หรือเข้าไปรบกวนการครอบครอง ตามข้อกล่าวหาแต่ประการใด หากแต่เข้าไปด้วยมีเหตุอันสมควรเพราะไม่มีหน ทาง ใดนอกจากการเข้าไปในสถานที่ที่หัวหน้ารัฐบาลในฐานะผู้นำสูงสุดของฝ่ายบริหารเพื่อให้ดำเนินการ แก้ไขความเดือดร้อน จากการกระทำอันเกิดจากโครงการของรัฐ เท่านั้น และนอกจากนั้นในความคลุมเครือของการตั้งข้อกล่าวหาทำให้ไม่มีความ ชัดเจนว่าใครบ้างที่เข้าไปหรือไม่ได้เข้า ไปในทำเนียบ ซึ่งเป็นสาระสำคัญของการดำเนินคดี การกระทำเช่นนี้เท่ากับเป็น การยัดเยียดข้อกล่าวหา และการเลือกใช้มาตราการในทางอาญามาจัดการกับประชาชนผู้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญดังที่กระทำมา ทำให้ไม่สามารถที่จะคิดเป็นอื่นได้ นอกจาก การดึงเอากระบวนการยุติธรรมซึ่งควรที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชนมาเป็น เครื่อง มือในทางการเมือง ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากหลักความรับผิดในทางอาญาแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นการกระทำที่ขาดเจตนา ที่จะเข้า ไปเพื่อถือการครอบครองหรือรบกวนการครอบครอง จึงไม่สมควรที่จะตั้งข้อหาการกระทำดังกล่าวว่าเป็นความผิดทางอาญา

การที่รัฐบาลอ้างว่ามีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินคดีเพราะมิฉะนั้นรัฐบาลจะมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้น การปฎิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ ทั้งที่ในปัญหาหลายต่อหลายเรื่องรัฐบาลก็มิได้ดำเนินการในลักษณะเช่นเดียวกันนี้ จึงเป็นการใช้หลักการ และอำนาจในลักษณะที่เป็นการเลือกปฎิบัติ เฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ในทางการเมืองเท่านั้น อีกทั้งการที่รัฐบาลอ้างว่าไม่ สามารถที่จะเข้าไปดำเนินการใดๆ ในขณะนี้เพราะจะเป็นการเข้าไปแทรกแซงอำนาจตุลาการ ก็ปัญหาของรัฐบาลที่เลือก แนวทางในการค้าความกับประชาชนมาตั้งแต่ตอนต้น และเป็นการผลักประชาชนผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของ รัฐบาลไปให้กระบวนการยุติธรรมในการ จัดการ ปัญหา ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ประชาชน หากแต่อยู่ที่ระบบบริหารและการใช้ อำนาจของรัฐ  

ลงชื่อ นาย ไพสิฐ พาณิชย์กุล

นางสาว นัทมน คงเจริญ

นาย สมชาย ปรีชาศิลปกุล

 
 

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต   138/1 หมู่ 4 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่   50200
Living River Siam Association  138 Moo 4, Suthep, Muang, Chiang Mai, 50200   Thailand
Tel. & Fax.: (66)-       E-mail : admin@livingriversiam.org

ข้อมูลในเวปนี้สามารถนำไปเผยแพร่ได้โดยอ้างอิงแหล่งที่มา