สารรักษ์แม่มูน
หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
แถลงการณ์
ข้อเสนอต่อ
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
ลำดับเหตุการณ์หลังมติค.ร.ม
ประวัติพื้นที่หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
จัดทำโดย สมัชชาคนจน
หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน 1
เขื่อนปากมูล จ.อุบลราชธานี โทร.01-9553706
แถลงการณ์
เจตนารมณ์หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๒๓
มีนาคม ๒๕๔๒
เกิดจากการวมตัวของผุ้ได้รับผลกระทบจากการ
ก่อสร้างเขื่อนและกรณีป่าไม้ที่ดิน
รวมทั้งหมด ๑๖
กรณีปัญหานับตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน
ได้ผ่านเหตุการณ์
ร้อนหนาวต่างๆ ดังนี้
๑.
ปี ๒๕๔๒
หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
เป็นตัวอย่างของการจัดระเบียบชุมชนของผู้ได้รับผลกระทบ
รวมตัวกัน
เรียกร้องแสดงปัญหาแต่เนื่องจากรัฐและสังคมไม่สนใจหรือไม่ได้รับข่าวสารที่ถูกต้อง
จากชาวบ้าน
ปัญหาและข้อเรียก ร้องต่างๆ จึงไม่ได้รับการแก้ไข
ทำให้การชุมนุมยืดเยื้อ
ชาวบ้านจึงต้อง
ปรับตัวในการต่อสู้เรียกร้อง
ด้วยการจัดกิจกรรม ต่างๆ
ในที่ชุมนุมและเชื้อเชิญผู้รักความเป็นธรรมต่างๆ
ทั้งในภาคเอกชน นักวิชาการ
ข้าราชการมาเรียนรู้และเข้าใจ
ปัญหาอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป
จุดที่ตั้งหมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
คือสันเขื่อนปากมูล
เพื่อให้ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนหรือนักศึกษาปัญหาสังคมต่างๆ
เห็นรูปธรรมของปัญหาที่ชัดเจน
ซึ่งจะดีกว่าพูดออกจากปากอย่างเดียว
จากจุดนี้ก็สามารถที่จะทำความเข้าใจกับเรื่องอื่นๆ
ได้ง่ายเช่นเดียวกัน
เพราะผลกระทบที่เกิดจากการพัฒนาเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
มีความละเอียดซับซ้อนเกินกว่า
การจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆในเวลาอันจำกัด
๒.
ปี ๒๕๔๓
หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
เริ่มเคลื่อนไหวต่อรองกับรัฐบาล
เพื่อสร้างบรรทัดฐานในการแก้ไขปัญหาทั้ง
ระยะสั้นและระยะยาวและยังมีจุดประสงค์เพื่อให้
ข้อมูลการเรียกร้องแพร่กระจายไปในวงกว้าง
โดยอาศัยสื่อมวลชนและ
สามารถทำได้สำเร็จระดับหนึ่ง
โดยรัฐบาลยอมตั้งคณะกรรมการกลางแก้ไขปัญหาที่มีนักวิชาการจากสถาบันต่างๆ
เข้าร่วมการพิจารณาและเสนอแนวทางแก้ไข
แต่ก็ถูกเพิกเฉยจากรัฐบาล
ชาวบ้านแม่มูนมั่นยืนจึงยินยอมให้ถูกจับกุม
โดยไม่ยอมออกจากคุกจำนวน
๒๒๖ คน
ในกรณีปีนทำเนียบเพื่อประท้วงรัฐบาลและเรียกร้องความเห็นใจจากสาธารณชน
วันเวลาผ่านไปจนถึงรัฐบาลใหม่ที่นำโดยนายทักษิณ
ชินวัตร
ที่ยอมรับปากการแก้ไขปัญหาด้วยการนำแนวทางต่างๆ
ที่ตกลงกันเข้าค.ร.ม.เมื่อวันที่
๓ เมษายน ๒๕๔๔
ชาวแม่มูนมั่นยืนจึงยอมถอยกลับไปชุมนุมรอการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
ที่สันเขื่อนปากมูล
๓.หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
เป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนา
ดังนั้นจึงเกิดหมู่บ้านแม่มูน
มั่นยืนในที่ต่างๆ ดังนี้
ปี ๒๕๔๒-ปัจจุบัน หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน ๑ เขื่อนปากมูล จ.อุบลราชธานี
ปี
๒๕๔๒-๒๕๔๓ หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน ๒.๓ เขื่อนราษีไศล จ.ศรีสะเกษ
ปี
๒๕๔๒-ปัจจุบัน หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน ๔ เขื่อนโป่งขุนเพชร จ.ชัยภูมิ
ปี
๒๕๔๒-ปัจจุบัน หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน ๕ เขื่อนลำคันฉู จ.ชัยภูมิ
ปี
๒๕๔๒-ปัจจุบัน หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน ๖ เขื่อนลำโดมใหญ่จ.อุบลราชธานี
ปี
๒๕๔๓-๒๕๔๓ หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน ๗ โรงปั่นไฟ เขื่อนปากมูล จ.อุบลราชธานี
ปี
๒๕๔๓-๒๕๔๔ หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน ๘ หน้าทำเนียบรัฐบาล (ข้างพาณิชย์พระนคร
๙ เดือน)
ปี
๒๕๔๓-๒๕๔๓ หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน ๙ หน้าทำเนียบรัฐบาล (ข้าง
กพ. ๔ เดือน)
ปี
๒๕๔๔-ปัจจุบัน หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
๑๐ เขื่อนห้วยทราย จ.ชัยภูมิ
๔.ปัจจุบัน
ถึงจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ
ของสมัชชาคนจน ๒๐๕
กรณีปัญหาที่ได้รับการรับรองจาก
ค.ร.ม เมื่อวันที่ ๓ และ ๑๗
เมษายน ๒๕๔๔ แล้วก็ตาม
แต่รูปธรรมการแก้ไขปัญหาต่างๆยังมิได้มีการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
แม้แต่กรณีเดียว
กลไกของรัฐในส่วนต่างๆ
ทั้งส่วนกลางและภูมิภาคยังแสดงออกถึงการต่อต้านแนวทางการแก้ไขปัญหา
ตามมติ ค.ร.ม ดังกล่าว
ดังนั้นหมู่บ้านแม่มูนมั่นยืนจึงต้องยืนหยัดต่อไปในแนวทางสันติวิธี
เพื่อพิสูจน์สัจจธรรม
จนกว่าจะเกิดการยอมรับและการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน
ทุกขั้นตอน
ด้วยสมานฉันท์
หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
๑ เขื่อนปากมูล
สมัชชาคนจน
๒๕
พฤษภาคม ๒๕๔๔
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ข้อเสนอเพื่อการฟื้นฟูธรรมชาติ
ชีวิตและชุมชนลุ่มน้ำมูน
เสนอต่อ
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ทักษิณ
ชินวัตร
วันที่
๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๔ ณ
หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
เขื่อนปากมูล
. เปิดประตูน้ำเขื่อนปากมูลถาวร
เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศน์แม่น้ำมูน
. ชุมชนสองริมฝั่งแม่น้ำมูน
เป็นผู้จัดการดูแลรักษาและฟื้นฟูสภาพแวดล้อม
สองริมฝั่งแม่น้ำมูน
ทั้งระยะสั้นและ ระยะ
ยาวโดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณและด้านต่างๆ
ตามความเหมาะสมจากรัฐและภาคเอกชน
. การศึกษาวิจัยใดๆ
ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบโครงการเขื่อนปากมูลต้องเป็นไปเพื่อการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ
และ ชุมชนอย่างถาวร
. ชุมชนสองริมฝั่งแม่น้ำมูนจะยึดถือในแนวทางการดำรงชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง
หลักประกันในเรื่องปัจจัยสี่
การพัฒนาที่ยั่งยืน
และการรักษาสิ่งแวดล้อม
. ชุมชนสองฝั่งแม่น้ำมูนจะช่วยเหลือเกื้อกูลและพึ่งพาอาศัยกัน
โดยดำรงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม
ของแต่ละชุมชน
การแลกเปลี่ยนทรัพยากรบนพื้นฐานของความเสมอภาค
เป็นธรรม
และความวัฒนาถาวรของสังคมโดยรวม
. ชุมชนสองฝั่งแม่น้ำมูน
จะจัดระบบสาธารณสุข
บนพื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียง
การรักษา ถ่ายทอด ปรับปรุง
และพัฒนาภูมิปัญญาพื้นบ้านเพื่อสุขอนามัยของชุมชนอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม
รูปธรรม
. ส่งเสริมการผลิตปุ๋ยจุลินทรีย์
(EM,IMO)
เพื่อให้เพียงพอต่อการผลิต
และการฟื้นฟูคุณภาพดิน
. จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์
และกองทุนต่างๆ เพื่อพัฒนาการตลาดระดับชุมชน
การทำธุรกิจชุมชน
การผลิตพลังงาน ระดับชุมชน
. ตรากฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ
ของชุมชน
เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
สภาพแวดล้อม และการรักษา
วัฒนธรรม
จารีตประเพณีที่ดีงาม
. ส่งเสริมการศึกษาทางเลือก
ภูมิปัญญาท้องถิ่น
และจัดทำพิพิธภัณฑ์ประจำชุมชนต่างๆ
เพื่อการเรียนรู้ประวัติ
ศาสตร์ชุมชนที่ถูกต้อง
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
รายงานสถานการณ์
ภายหลังจากมีมติค.ร.ม
เพื่อรับรองการแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจนกรณีต่างๆ
๒๐๕ กรณีปัญหานั้น
ในกรณีเขื่อนปากมูล
ซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้มีมติค.ร.ม
ให้กฟผ.เปิดประตูระบายน้ำทั้ง
๘ บาน
เพื่อศึกษาลุ่มน้ำธรรมชาติ
ซึ่งจะมีคณะกรรมการได้ลงศึกษาวิจัยในรายละเอียด
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นบริเวณสันเขื่อน
กฟผ.ได้จ้างชายฉกรรจ์เข้ามาที่เขื่อนมากขึ้นโดยอ้างว่าเพื่อ
ความปลอดภัยของเขื่อน
ซึ่งก่อนหน้านั้น นับตั้งปี
๒๕๔๓
ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้อยู่ก่อนแล้ว
ชายกลุ่มดังกล่าว
ได้เข้ามาข่มขู่
และยั่วยุชาวบ้านแม่มูนมั่นยืน
เพื่อให้เกิดความรุนแรง
อยู่เป็นระยะๆ
และถี่ขึ้นหลังมีมติ ค.ร.ม
นอกจากนั้นยังได้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่นำโดยนายสุพรรณ
หวังผล
อดีตผู้ใหญ่บ้านบ้านหัวเห่ว
อ้างว่าหากเปิดเขื่อน
ปากมูลจะทำให้ตนเองเดือดร้อน
และได้ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการเปิดประตูน้ำตามมติค.ร.ม
ดังกล่าว
โดยได้นำชาวบ้านประมาณ ๓๐
คน เข้ายื่นหนังสือกับกฟผ.ที่หน้าประตูทางเข้าเขื่อนปากมูลเมื่อวันที่
๕ เมษายน ๒๕๔๔ ที่ผ่านมา
และได้นำชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวเข้าตามหนังสือที่สถานที่ดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่
๙ เมษายน ๒๕๔๔ นายสุพรรณ
และพวกกล่าวว่า กฟผ.จะต้องยืนหยัดอย่าทำตามคำสั่งรัฐบาลอย่างเด็ดขาด
เป็นที่น่าสังเกตว่าการเข้ายื่น
หนังสือแต่ละครั้งจะมีการเตรียมข้าวปลาอาหาร
และรวมทั้งเครื่องมึนเมาชนิดต่างๆ
ไว้อย่างดี
มีความเคลื่อนไหวอื่นๆไม่ว่าจะเป็นการนำชาวบ้านสองริมฝั่งแม่น้ำมูนไปอบรมเกี่ยวกับผลเสียของการเปิดเขื่อน
และได้มีเจ้าหน้าที่ กฟผ.ได้ออกปลุกระดมชาวบ้านตามหมู่บ้านต่างๆ
และเรียกร้องให้ลุกขึ้นมาคัดค้านการเปิดเขื่อนในครั้งนี้
ความเคลื่อนไหวต่างๆ
เหล่านี้ไม่รวมถึงการออกใบปลิวเพื่อโจมตีชาวบ้าน
สมัชชาคนจนและกลุ่มองค์กรเอกชนที่เคลื่อนไหวเรื่องการเปิดประตูเขื่อน
ในวันที่ ๓๐
เมษายน ๒๕๔๔
กลุ่มผู้ที่อ้างว่าการเปิดประตูระบายน้ำได้เข้าไปตั้งเพิงพักกลางแก่งท้ายเขื่อนปากมูล
เพื่อคัดค้านไม่ให้ กฟผ.เปิดประตูเขื่อน
มีการประกาศให้ตีตราเรือเพื่อเรียกร้องผลกระทบหากเรือได้รับความเสีย
หายหากเปิดประตูน้ำ
นอกจากนั้นกลุ่มยังได้ประกาศห้ามคนข้างนอกลงหาปลาอย่างเด็ดขาด
และในวันที่ ๘ พฤษภาคม
รถสีเทาป้ายสัญลักษณ์ กฟผ.ได้ขนถึงน้ำมัน
๒๐๐ ลิตรประมาณ ๒๐ ลูก ลงไปยังกลุ่มดังกล่าว
และได้ต่อเป็นแพในเวลาต่อ
และขณะที่ชาวบ้านรอการเปิดประตูระบายน้ำ
เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม กฟผ.ระดมกลุ่มชายฉกรรจ์เข้ามาที่เขื่อน
เป็นจำนวนมาก
และในช่วงกลางคืนกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวได้กระจายกำลังตามแนวรั้วและระดมยิงหนังสะติ๊กเข้าใส่ชาวบ้าน
แต่อย่างไรก็ตามชาวบ้านแม่มูนมั่นยืน
ก็จะยังยืนหยัดการชุมนุมอย่างสันติ
เพื่อรอการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อรอความอุดมสมบูรณ์
สงบสันติ
จะกลับสู่ชีวิตและชุมชนในที่สุด
*****************************
ประวัติพื้นที่หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
สันเขื่อนปากมูล
จ.อุบลราชธานี
พื้นที่บริเวณที่ตั้งหมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
1 ปัจจุบัน
เดิมคือที่ดินของชาวบ้านบ้านหัวเห่ว
หมู่ ๔ ซึ่งได้ใช้ประโยชน์
ในการดำรงชีพ เช่น ทำนา ทำสวน
ทำไร่ปอ
เป็นที่ที่อุดมสมบูรณ์
เนื่องจากเป็นที่ดินริมแม่น้ำ
เป็นที่ทาม
แม้ว่าพื้นที่นี้จะเป็น
ที่ส่วนบุคคลแต่ก็ที่ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันของหมู่บ้านนี้และหมู่บ้านอื่นๆ
ในกิจกรรมการดำรงชีพ
ซึ่งได้แก่
การเลี้ยงวัวควาย
การเข้าหาเห็ดหาหน่อไม้
ขุดมันแซง
และอาหารป่าอย่างอื่น
รวมทั้งการใช้พื้นที่นี้ตั้งกระต๊อบริมน้ำเพื่อหาปลาของ
ชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นที่เดินทางมาหาปลาในฤดูปลาขึ้น
โดยที่เจ้าของพื้นที่ไม่ได้หวงห้ามแต่อย่างใด
ซึ่งเมื่อชาวบ้านอื่นๆ
มาหาปลาบริเวณนี้ก็จะนำเกวียนขนข้าวมาด้วยเพื่อแลกปลาร้า
ปลาแห้ง ปลาร้า
จากบ้านหัวเห่ว
เกิดวัฒนธรรมที่ชาวบ้านเรียกว่าปลาแลกข้าว
ข้าวแลกปลา
บริเวณนี้ยังมีบ่อน้ำธรรมชาติของหมู่บ้าน
ซึ่งเป็นแหล่งน้ำซับที่ชาวบ้านหัวเห่ว
และชาวบ้านอื่นที่เข้ามาหากิน
ได้ใช้สอย
ดื่มกินตลอดทั้งปี
ชาวบ้านถือว่าเป็นแหล่งน้ำที่หล่อเลี้ยงชีพหมู่บ้านมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย
นอกจากน้ำในแม่น้ำมูน
พื้นที่นี้ยังเป็นแหล่งของมีประเพณี
วัฒนธรรมเก่าแก่
ความเชื่อต่างๆ
โดยชาวบ้านยังได้สร้างศาลปู่ตาไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว
จิตใจ
เป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านหัวเห่วและชาวบ้านใกล้เคียงที่เดินทางมาหากิน
ซึ่งก่อนออกหากินชาวบ้านก็จะมา
กราบไหว้ บูชาก่อนเสมอ
นับเป็นสิ่งที่ชาวบ้านได้ร่วมกันรักษาเอาไว้ซึ่งเป็นความเชื่อทางวัฒนธรรมเก่าแก่
ของชาวบ้าน
ให้ทำแต่คุณงามความดี
ปัจจุบันบริเวณดังกล่าว
ได้ถูกทำลายลงโดยโครงการเขื่อนปากมูล
การใช้ประโยชน์ต่างๆ
ของชาวบ้านที่เคย ทำมาต้อง
หยุดชะงัก
ที่สำคัญศาลปู่ตาอันเป็นที่เคารพศักการะของชาวบ้านก็ถูกกฟผ.ใช้รถไถทิ้งอย่างไม่ใยดี
แม้ว่าชาวบ้านจะได้ช่วยกันสร้างขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ทั้งหมดกลายเป็นที่ถมเศษซากหินจากการ
ระเบิดแก่ง
เพื่อสร้างตัวเขื่อนปากมูล
เมื่อโครงการเขื่อนปากมูลเข้ามาชาวบ้านเจ้าของที่ต้องหาที่อยู่และที่ทำมาหากินใหม่
นาที่เคยทำ
ดินที่เคยใช้ประโยชน์จมอยู่ใต้เศษหิน แม้ที่ดินเหล่านั้นจะได้รับค่าชดเชยแต่มันก็น้อยเกินกว่าที่จะทำให้ชีวิตของ
เจ้าของที่ดินเหล่านั้น
ดีขึ้นกว่าเดิมได้
เมื่อที่ดินหมด
แม่น้ำถูกทำลาย
ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ที่เกิดขึ้นเลวร้ายลงเรื่อยๆ
ชาวบ้านเหล่านั้นก็จำต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของชีวิต
ภายหลังการปิดเขื่อนปากมูล
พ.ศ 2537 กฟผ.ได้ใช้พื้นที่ดังกล่าวทำเป็นสวนหย่อม
กระทั่งปี 2542
สมัชชาคน
จนซึ่งประกอบด้วยชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากหลายกรณีปัญหา
ได้เข้าตั้งหมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาล
แก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
ชาวบ้านได้ช่วยกันจัดระบบหมู่บ้านให้เป็นชุมชนใหม่
มีการตั้งข้อตกลงที่เป็นระบบระเบียบ
ของหมู่บ้านร่วมกัน และอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติตลอดมา
เป็นตัวอย่างของการตั้งชุมชน
ได้พยายามสืบสานวัฒนธรรม
ดั้งเดิม ของชาวอีสาน เช่น
การลงแขกดำนา เกี่ยวข้าว
การจัดงานบุญกุ้มข้าวใหญ่
รวมถึงพิธีกรรมอื่นๆ
ที่ถือเป็นวัฒนธรรมของชาวอีสาน
กว่า
2 ปี
ที่หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
ยืนหยัดการใช้แนวทางสันติวิธี
แต่กระนั้น กฟผ.ก็พยายามใช้ความรุนแรงกับ
ชาวบ้านด้วยวิธีการต่างๆ
เพื่อให้ชาวบ้ายจากพื้นที่
ซึ่งครั้งรุนแรงที่สุดคือการจ้างกลุ่มชายฉกรรจ์บุกเข้าเผาหมู่บ้าน
และทำร้ายชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนเฒ่าคนแก่ได้รับบาดเจ็บหลายคน
เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๓
ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามแม้จะเกิดเหตุการณ์ใดๆ
ก็ตาม
ชาวบ้านแม่มูนมั่นยืนจะยังคงยืนหยัดอย่างสันติวิธีจนกว่าการ
แก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
และยังคาดหวังถึงการรอคอยการแก้ไขปัญหอย่างสันติ
และการร่วมมือกันทุกฝ่ายเพื่อ
ประโยชน์สุขจะได้เกิดแก่คนทั้งลุ่มน้ำ
ด้วยสมานฉันท์
|