แถลงการณ์สมัชชาคนจน
ปิดเขื่อนปากมูลเพื่อประโยชน์ของใคร
วันอังคารที่
๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๕
ณ ทำเนียบรัฐบาล
----------------------------------------
ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ศึกษาผลการเปิดประตูน้ำเขื่อนปากมูล
โดยจัดทำเป็นโครงการศึกษาวิจัยแนวทางการฟื้นฟูระบบนิเวศ
วิถีชีวิต
และชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากมูล
และได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลจำนวน
๑๐ .๒ ล้านบาท
การศึกษาดังกล่าวมีข้อค้นพบและบทสรุปดังนี้
ด้านการชลประทาน จากการศึกษาพบว่า สถานีสูบน้ำริมแม่น้ำมูล
๙ แห่ง
ที่ทำการศึกษามีศักยภาพในการส่งน้ำได้ถึง
๑๔,๗๕๗ ไร่
แต่มีเกษตรกรขอใช้เพียง
๒๕๒๖ ไร่หรือประมาณ ๑๗
เปอร์เซ็นต์
ในช่วงก่อนการปิดประตูระบายน้ำ
( ๒๕๔๑ - ๒๕๔๒ )
ส่วนในช่วงหลังการเปิดประตูระบายน้ำ
(๒๕๔๔ - ๒๕๔๕)
มีเกษตรกรขอใช้น้ำจำนวน ๒,๐๕๒
ไร่ หรือประมาณ ๑๔
เปอร์เซ็นต์ โดยปัจจัยสำคัญที่เกษตรกรจะขอใช้น้ำอยู่ที่ราคาค่าสูบน้ำ
และราคาผลผลิตทางการเกษตร
มิใช่การปิดหรือเปิดประตูน้ำ
ด้านเศรษฐกิจพบว่าการเปิดประตูน้ำทำให้ชาวประมงประมาณ
๖,๑๗๖ ครอบครัว
ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯยอมรับว่าสูญเสียอาชีพประมงมีรายได้เพิ่มขึ้น
จากครัวเรือนละ ๓,๐๔๕ บาท/ปี
ในช่วงที่เขื่อนปิดประตูน้ำปี
๒๕๔๓ เป็น ๑๐,๐๒๕ บาท/ปี ในปี ๒๕๔๔ - ๒๕๔๕
หลังจากเขื่อนเปิดประตูน้ำ
นอกจากนั้นผลการศึกษายังระบุอีกว่าเมื่อการประมงเป็นแหล่งอาหารและแหล่งรายได้สำคัญของครัวเรือนทั่วไปซึ่งคงไม่จำกัดอยู่เฉพาะ
๖,๑๗๖
ครอบครัวเท่านั้นแต่รวมถึงชาวบ้านตลอดลุ่มน้ำมูลตลอด
๔๐๐
กิโลเมตรจะมีแหล่งอาหารและรายได้เพิ่มขึ้น
ด้านความหลากหลายของพันธุ์ปลาพบว่าหลังการเปิดประตูน้ำมีพันธุ์ปลาในแม่น้ำมูล ๑๘๔ ชนิด และปลาจะอพยพตลอดทั้งปีโดยปลาแต่ละกลุ่มจะอพยพตามเงื่อนไขธรรมชาติที่แตกต่างกันไป
เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงปิดประตูน้ำ
คณะกรรมการเขื่อนโลก
ได้ทำการศึกษาเมื่อปี ๒๕๔๐
พบพันธุ์ปลาในแม่น้ำมูลเพียง ๙๖ ชนิด
ด้านพืชผักสมุนไพร พบว่าหากเปิดประตูน้ำเขื่อนปากมูลถาวร
จะทำให้พรรณไม้บริเวณแก่งเพิ่มมากขึ้นพรรณไม้น้ำในป่าทามบริเวณชายเกาะจะเพิ่มมากขึ้น
และชาวบ้านจะได้ใช้ประโยชน์จากพรรณไม้ที่เป็นพืชผักกินได้
ขณะที่การปิดประตูน้ำถาวรพืชพรรณไม้ลดลงและหากมีการเปิดปิดเป็นบางช่วงเวลา
นอกจากจะทำให้พืชพรรณไม้ลดลงแล้วจะเกิดการแพร่กระจายของไมยราพยักษ์
ด้านพลังงาน พบว่าระบบส่งจ่ายกำลังไฟฟ้าของประเทศไทยเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายทั้งประเทศ
และเชื่อมโยงไปถึงโครงข่ายของประเทศข้างเคียง
โดยเฉพาะของประเทศลาว
ประกอบกับข้อมูลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ
สิ้นเดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
ประเทศไทยมีกำลังผลิตติดตั้งรวมของระบบไฟฟ้าทั้งสิ้น
๒๑,๓๙๘ เมกะวัตต์
โดยกำลังไฟฟ้าสูงสุดรวมที่ผลิตได้ของประเทศไทยมีค่าประมาณ
๑๕,๘๓๖ เมกะวัตต์
ส่วนที่เหลือ ๕,๕๖๒
เมกะวัตต์คือกำลังไฟฟ้าสำรองของประเทศ
ขณะที่เขื่อนปากมูลมีกำลังการผลิตติดตั้งเพียง
๑๓๖ เมกะวัตต์
คิดเป็นร้อยละ ๒.๔๔
ของกำลังไฟฟ้าสำรองของประเทศ
นอกจากนั้นผลการศึกษายังระบุว่าแม้จะมีหรือไม่มีเขื่อนปากมูลระบบก็ยังคงอยู่ได้เนื่องจาก
โครงข่ายเชื่อมถึงกันทุกจุดในประเทศไทยและโยงไปถึงโรงจักรในลาว
จากข้อค้นพบดังกล่าว
คณะนักวิจัยมีข้อสรุป ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะที่มาจากการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพลังงานไฟฟ้ายังไม่ได้พัฒนาไป ตามที่คาดการณ์ไว้และเขื่อนก็ยังไม่ได้มีบทบาททางการชลประทานอย่างเต็มศักยภาพ
สมควรมุ่งประโยชน์ของลำน้ำมูลเพื่อเศรษฐกิจพื้นฐานชุมชนด้วยการพักใช้เขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าไว้ก่อน การเปิดประตูน้ำตลอดปีในเบื้องต้นนี้
อาจจะอยู่ในช่วงเวลา ๕
ปีตามการพยากรณ์ทางเศรษฐกิจที่พอเล็งเห็นได้ว่าความต้องการพลังงานไฟฟ้าจะไม่สู้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
ผลการศึกษาของ
ม.อุบล ฯ
เป็นการยืนยันแล้วว่าการปิดประตูน้ำเขื่อนปากมูล
สร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจของชุมชน
ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ
โดยไม่ก่อประโยชน์ทั้งในด้านการชลประทาน
และไม่มีความจำเป็นในการผลิตกระแสไฟฟ้า
ฯ
ที่สำคัญการที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตปิดประตูน้ำเขื่อนปากมูลในวันที่
๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๕
ยังทำให้ทรัพย์สินของชาวบ้าน
เช่น เรือ เครื่องมือประมง
และสวนผักริมมูน
ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น
หากคณะรัฐมนตรีบรหารประเทศโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและ ประชาชนเป็นสำคัญแล้วจะต้องทบทวนมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อคราวประชุมวันที่ ๑
ตุลาคม ๒๕๔๕
และเปิดประตูน้ำเขื่อนปากมูลโดยทันที
ด้วยความเชื่อมั่นในพลังประชาชน
สมัชชาคนจน
|