จดหมายเปิดผนึกถึงสังคมไทย จาก 200
นักวิชาการทั่วประเทศ
ขออภัยเนื่องจากจดหมายฉบับก่อนหน้านี้เป็นเพียงจดหมายฉบับร่าง
หยุดการละเมิดสิทธิมนุษยชน
หยุดเบี่ยงเบนปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นการเมือง
เหตุการณ์ที่รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงทำร้ายและจับกุมชาวบ้านสมัชชาคนจน
ที่เข้ามาเรียกร้องให้รัฐบาลตัดสินใจแก้ปัญหา
ความ
เดือดร้อนที่เกิดจากโครงการต่าง
ๆ ของรัฐ
รวมทั้งนักศึกษาที่เข้าสนับสนุนการเรียกร้องของชาวบ้านเมื่อวันที่
16-17 กรกฎาคม 2543 และต่อมาก็
ได้มีการดำเนินคดีกับผู้ถูกจับกุมเยี่ยงอาชญากรของแผ่นดิน
นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงการที่รัฐละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
ไม่ได้
แตกต่างกับเผด็จการในอดีต
การกระทำดังกล่าวขาดซึ่งความเคารพและการตระหนักถึงสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราช
อาณาจักรไทย ให้การรับรอง
พวกเรา
นักวิชาการที่ลงนามในท้ายจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้
ขอประณามการกระทำดังกล่าว
พวกเรา เห็นว่า
สาเหตุของความรุนแรงครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายชวน
หลีกภัย นายกรัฐมนตรี
จากพรรคประชาธิปัติย์
และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องได้ทำการเบี่ยงเบนประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านให้เป็นประเด็นทางการเมือง
โดยการไม่ดำเนินการตัดสิน
ใจแก้ปัญหาความเดือดร้อนที่ชาวบ้านประสบ
แม้ว่าปัญหาความเดือดร้อนนี้ได้เกิดขึ้นและมีการเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขมานานกว่า
10 ปี
อีกทั้งยังได้มีการศึกษาข้อเท็จจริงจนเป็นที่
ยอมรับกันแล้วว่ามีประชาชนเดือดร้อนจากโครงการต่างๆ
ตามกรณีข้อเรียกร้องของชาวบ้านจริง
และรัฐจำเป็นต้องแก้ไข
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมติผล
การศึกษาของคณะกรรมการกลางแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจนที่แต่งตั้งโดยนายบัญญัติ
บรรทัดฐาน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
มหาดไทย
ที่ได้เสนอมาตรการเร่งด่วนให้เปิดประตูเขื่อนปากมูลเป็นระยะเวลา
4 เดือน
และเปิดประตูเขื่อนราษีไศลจนกว่าจะแก้ปัญหาทั้งหมด
รวม
ทั้งการแก้ปัญหากรณีอื่น ๆ
รวมทั้งหมด 16 กรณี
แต่ก็ปรากฏว่ารัฐบาลมิได้ตระหนักถึงสภาพปัญหาและมาตรการการแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอ
ของคณะกรรมการที่ให้รัฐบาล
ดำเนินการแก้ไขแต่ประการใด
การที่รัฐไม่ได้ตอบสนองต่อปัญหาของชาวบ้านนี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชาวบ้านหมดหนทางที่จะต่อรองให้ผู้มีอำนาจในรัฐบาลตัดสินใจแก้ปัญหา
จนกระทั่งจำเป็นต้องเดินทางเข้ามาชุมนุมที่กรุงเทพอีกครั้ง
แต่ก็ยังเผชิญกับท่าทีที่เมินเฉยจากรัฐบาลเช่นเดิม
จึงจำเป็นต้องเข้าทำเนียบเพื่อเป็นการ
สื่อสารกับรัฐบาลโดยตรง
พวกเราเห็นว่า
รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องไม่สามารถอ้างสิทธิใด
ๆ
ในการใช้ความรุนแรงกับชาวบ้านและนักศึกษา
และด้วยความเชื่อมั่นใน
เจตนาบริสุทธิ์ของชาวบ้านในการเรียกร้องหาความยุติธรรมในสังคม
พวกเราจึงเห็นว่าการจับกุมดำเนินคดีกับชาวบ้านและนักศึกษาที่เข้าไปในทำ
เนียบนั้น
กลับจะเป็นการบ่อนทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลในฐานะผู้แก้ปัญหาในสังคม
การเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน
ไม่สมควรถูกปฏิบัติเยี่ยงอาชญากรของแผ่นดิน
และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะถูกมองแต่ในแง่ภัยคุกคามต่อรัฐบาล
เช่นที่ผ่านมา
ปฏิกิริยาของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าว
เป็นสิ่งที่พวกเราไม่อาจยอมรับได้
เนื่องจากการประเมินค่าปัญหาความเดือดร้อนของชาว
บ้านว่า
เป็นการกระทำของมือที่สาม
และยังอ้างว่าเหตุการณ์ประท้วงดังกล่าวทำให้เสียภาพพจน์ของประเทศและทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยว
ข้ออ้าง
เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการเบี่ยงเบนประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านและชี้นำให้สังคมไม่เข้าใจสภาพปัญหาที่เป็นจริง
เหตุการณ์ความรุนแรงและการจับกุมชาวบ้านและนักศึกษาครั้งนี้
สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลได้หลีกเลี่ยงและลอยตัวเหนือปัญหา
ไม่ตระหนักและ
เคารพประชาชน
และไม่ใส่ใจปัญหาคนจน _แต่กลับสร้างเงื่อนไขที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงเข้าสลายการชุมนุมและจับกุมชาวบ้าน
และนักศึกษา ทั้ง ๆ
ที่ผู้มีอำนาจในรัฐบาลหากมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา
ย่อมสามารถหาแนวทางเลือกในการยุติปัญหาได้ตั้งแต่ต้น
ดังนั้น
พวกเราจึงขอเรียกร้องต่อสังคมไทยให้รวมพลังเพื่อร่วมกันกดดันรัฐบาลให้ดำเนินการดังนี้
1.ใการกระทำทางกฎหมายใด
ๆ
ต่อกลุ่มผู้ประท้วงไม่อาจแก้ปัญหาความขัดแย้งได้อย่างแท้จริง
ในทางตรงข้ามมีแต่จะทำให้ปัญหาขยายตัวเป็น
ประเด็นทางการเมือง
รัฐบาลควรตระหนักว่ากลุ่มผู้ประท้วงมิใช่อาชญากรที่มีเจตนากระทำความผิด
เพียงแต่ต้องการที่จะสื่อให้รัฐบาลตระหนัก
ถึงปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่
2.ให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงความรับผิดชอบต่อการใช้ความรุนแรงต่อพี่น้อง
ประชาชน ในครั้งนี้
3.ให้รัฐบาลรวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องยุติพฤติกรรมเบี่ยงเบนประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านให้กลายเป็นประเด็นการเมือง
ยุติการ
ใช้สื่อของรัฐใส่ร้ายป้ายสี
รวมทั้งการยุติพฤติกรรมที่ยึดติดอยู่กับทิฐิมานะ
มองเห็นชาวบ้านเป็นศัตรู
และหันมาเคารพสิทธิของชาวบ้าน
สร้างบรรยา
กาศให้เกิดความเข้าใจต่อกลุ่มที่เรียกร้องให้รัฐแก้ปัญหาเพื่อสิทธิในวิถีชีวิตอันพึงมี
4.ให้รัฐบาลนำมติคณะกรรมการกลางเพื่อแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีและดำเนินการปฏิบัติเพื่อนำ
ไปสู่การแก้ไข
ปัญหาของชาวบ้านอย่างแท้จริง
รัฐบาลจะต้องตระหนักว่า
การดำเนินการดังกล่าวนี้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ.2540 มาตรา 78 ที่บัญญัติว่า
รัฐต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจทางการเมืองทุกระดับ
พวกเรา เห็นว่า
การดำเนินการดังกล่าวนี้
เป็นหนทางเดียวที่สังคมไทยจะร่วมกันยุติปัญหาความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
มิให้ขยายบาน
ปลายออกไปมากกว่านี้
ด้วยความสมานฉันท์
รับรองโดย
นักวิชาการทั้งสิ้น
200 คน
จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศดังนี้
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
31 คน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
36 คน
มหาวิทยาลัยสุรนารี
23 คน
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
1 คน
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตปัตตานี 17 คน
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตหาดใหญ่ 14 คน
มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
6 คน
มหาวิทยาลัยบูรพา
4 คน
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
10 คน
มหาวิทยาลัยมหิดล
5 คน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
2 คน
มหาวิทยาลัยศิลปากร
2 คน
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
3 คน
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
1 คน
มหาวิทยาลัยรังสิต
12 คน
มหาวิทยาลัยเกริก
4 คน
มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
1 คน
นักวิชาการจากกระทรวงสาธารณสุข
8 คน
นักวิชาการอิสระ
20 คน |