๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๕
เรื่อง การปลด ศ.ดร.ประกอบ วิโรจนกูฏ อธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีออกจากตำแหน่ง
เรียน ฯพณฯรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายปองพล อดิเรกสาร
สิ่งที่ส่งมาด้วย เอกสารข้อเสนอสำหรับผู้บริหาร
โครงการศึกษาวิจัยแนวทางการฟื้นฟูระบบนิเวศ
วิถีชีวิต
และชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากมูล
จำนวน ๑ ฉบับ
ตามที่
รัฐบาลได้มอบหมายให้ ม.อุบลฯศึกษาผลจากการเปิดประตูระบายน้ำ
เขื่อนปากมูล โดย
อนุมัติงบประมาณ จำนวน ๑๐.๒
ล้านบาท
สนับสนุนโครงการศึกษาวิจัยแนวทางการฟื้นฟู
ระบบนิเวศ วิถีชีวิต
และชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากมูล
โดยเมื่อนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาพิจารณาถึงข้อดี
ข้อเสีย
คณะนักวิจัยได้เสนอทางเลือก
๔ แนวทางคือ ๑.ปิดประตูน้ำตลอดปี
๒.เปิดประตูน้ำ ๕
เดือน ๓.เปิดประตูน้ำ
๘ เดือน ๔.เปิดประตูน้ำตลอดปี
โดยข้อเสนอแต่ละข้อมีคำอธิบายต่อท้ายถึงผลดีผลเสีย
พอสรุปสาระสำคัญได้ว่า
ทางเลือกที่ ๑ - ๓
จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของชุมชน
มีเพียงทางเลือกที่ ๔ ที่จะเกิดประโยชน์ในการฟื้นสภาพนิเวศ
เศรษฐกิจ
และวิถีชีวิตชุมชน
และไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของกระแสไฟฟ้า
นอกจากนี้ผลการวิจัยของ ม.อุบลฯยังระบุว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะที่มาจากการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพลังงานไฟฟ้ายังไม่ได้พัฒนาไปตาม
ที่คาดการณ์ไว้และเขื่อนก็ยังไม่ได้มีบทบาททางการชลประทานอย่างเต็มศักยภาพ
สมควรมุ่งประโยชน์ของลำน้ำมูลเพื่อเศรษฐกิจพื้นฐานชุมชนด้วยการพักใช้เขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าไว้ก่อนการเปิดประตูน้ำ
ตลอดปีในเบื้องต้นนี้
อาจจะอยู่ในช่วงเวลา ๕
ปีตามการพยากรณ์ทางเศรษฐกิจที่พอเล็งเห็นได้ว่าความต้องการพลังงานไฟฟ้าจะไม่สู้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยแล้วนี้
แต่เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน
๒๕๔๕
ระหว่างที่คณะนักวิจัยกำลังจัดทำรายงานผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์
ศ.ดร.ประกอบ วิโรจนกูฏ อธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้รายงานผลการศึกษาวิจัยต่อ
ฯพณฯรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา
ที่กำกับดูแลการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
ฯ
ว่าข้อเสนอจากผลการศึกษาของ
ม.อุบลฯ คือ
การเปิดประตูน้ำเขื่อนปากมูลเป็นเวลา
๔ เดือน
เป็นสาเหตุให้การพิจารณาของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน
ในการประชุมวันที่ ๒๓
กันยายน ๒๕๔๕
มีมติเห็นชอบให้เปิดประตูน้ำ
๔ เดือนตั้งแต่ ๑ กรกฎาคม ๓๑ ตุลาคม
โดยมติที่ประชุมคณะกรรมการ
ฯ
ได้เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบในวันที่
๑ ตุลาคม ๒๕๔๕
นอกจากนั้น
ศ.ดร.ประกอบ วิโรจนกูฎ
ยังได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
ฉบับวันศุกร์ที่ ๑
พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ว่า กรณีสมัชชาคนจนระบุว่ารัฐบาลไม่ได้ดำเนินการตามข้อเสนอของมหาวิทยาลัยที่เสนอให้เปิดประตูเขื่อน ๕ ปี
ว่าไม่ใช่ข้อเท็จจริงนักวิชาการที่พูดไม่ใช่อาจารย์ของมหาวิทยาลัยเพราะมหาวิทยาลัยเสนอการเปิดประตูเขื่อน
๓ แนวทางคือ
เปิดหรือปิดตลอดปีหรือแนวทางที่
๓ ซึ่ง ครม.เลือกคือเปิดประตูน้ำ๔
เดือน ปิด ๘ เดือน
มหาวิทยาลัยไม่ได้เสนอเปิดประตูน้ำ
๕
ปีอย่างที่นักวิชาการและสมัชชาคนจนบิดเบือนข้อมูล
ทางเลือกที่ ๓
เป็นทางสายกลางเปิดประตูน้ำหน้าฝนเพื่อให้ปลาขึ้นไปวางไข่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคมและปิดประตูเดือนพฤศจิกายน
เพื่อกักเก็บน้ำและผลิตกระแสไฟฟ้า
พฤติกรรมของ
ศ.ดร.ประกอบ วิโรจนกูฏ
เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงทางวิชาการ
ใส่ร้ายบุคคลอื่นเพียงเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
ฯ
นอกจากจะแสดงถึงความไร้จรรยาบรรณทางวิชาการและทำให้เสื่อมเสียเกียรติภูมิของ
ม.อุบลฯ แล้ว
ยังทำให้รัฐบาลตัดสินใจแก้ไขปัญหากรณีเขื่อนปากมูลผิดพลาด
ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติ
และระบบนิเวศของแม่น้ำมูน
ที่เป็นฐานในการดำรงชีวิตของชาวบ้านสองฝั่งแม่น้ำมูลและลำน้ำสาขาทั่วภาคอีสาน
ที่สำคัญยังเป็นการสร้างปมปัญหาให้เกิดความขัดแย้งในสังคม
สมัชชาคนจน
เห็นว่าหากบุคคลดังกล่าว
ยังดำรงตำแหน่งอธิการบดีของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีต่อไป
จะเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสถาบันการศึกษา
และปฏิเสธการใช้กระบวนการทางวิชาการในการแก้ปัญหาในที่สุด
เพื่อเป็นการรักษาเกียรติภูมิของสถาบันการศึกษาโดยเฉพาะ
ม.อุบลฯ
จึงเรียนมายัง
ฯพณฯ
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้โปรดปลด ศ.ดร.ประกอบ
วิโรจนกูฏ
ออกจากตำแหน่งอธิการบดี
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
โดยทันที
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการ
ขอแสดงความนับถือ
( นายสมเกียรติ พ้นภัย )
ตัวแทนสมัชชาคนจน
กรณีเขื่อนปากมูล
|