ความจำเป็น
9
ประการที่สมัชชาคนจนต้องยึดทำเนียบรัฐบาล
ประการที่
1 นับตั้งแต่รัฐบาลภายใต้การนำของนายชวน
หลีกภัย เข้าบริหารประเทศ
สมัชชาคนจนพยายามที่จะประสาน
งาน
กับรัฐบาลเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง
ตามแนวทางที่ได้ตกลงไว้กับรัฐบาลชุดก่อน
จนกระทั่งได้มีมติคณะ
รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30
ธันวาคม 2540
รับรองแนวทางการแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจนตามแนวทางที่เคยปฏิบัติมา
โดยแต่งตั้ง
คณะกรรมการร่วมระหว่างภาคราชการกับสมัชชาคนจนในระดับต่างๆ
แต่ปรากฏว่าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
รัฐบาลได้ทำลายหลักการร่วมในการแก้ปัญหา
โดยการออกมติคณะรัฐมน
ตรีฉบับต่างๆ
เพื่อยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเดิมที่เป็นหลักการในการแก้ไขปัญหา
เช่น
1.การออกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
21 เมษายน 2540
ยกเลิกการจ่ายค่าชดเชย
ผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการสร้างเขื่อนของ
สมัชชาคนจนทั้งหมด
2.การออกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
30 มิถุนายน 2541
ที่รวบอำนาจการจัดการป่าไม้ทั้งหมดกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของ
กรมป่าไม้
และตัดการมีส่วนร่วมของชาวบ้านในการแก้ไขปัญหา
ตลอดจนเป็นการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นแนวทาง
การแก้ปัญหากลุ่มป่าไม้ของสมัชชาคนจนทั้งหมด
จนกระทั่งบัดนี้รัฐบาลบริหารประเทศมา
2 ปีกว่า
แต่ยังไม่มีท่าทีในการแก้ปัญหาสมัชชาคนจนที่ชัดเจน
ประการที่
2 การที่นายบัญญัติ
บรรทัดฐาน
รองนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกลางเพื่อแก้ไขปัญหา
สมัชชาคนจน
ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี
แต่เมื่อคณะกรรมการได้ดำเนินการลุล่วงและเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อ
รัฐบาล
แต่รัฐบาลกลับไม่มีท่าทีที่จะตอบรับ
และพยายามบิดเบือนว่าข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกลางฯ
เป็นเพียงข้อ
เรียกร้องของชาวบ้าน
ต้องส่งไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าจะทำให้ได้หรือไม่
เท่ากับว่าการแก้ปัญหาของสมัชชาคนจน
ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่
ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไป
ก็เท่ากับว่ารัฐบาลเตะถ่วง
ยื้อปัญหาไปที่จุดเริ่มต้น
จนไม่ทราบว่าเมื่อใดจะได้รับการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม
ประการที่
3 สมัชชาคนจนได้เริ่มชุมนุมมาตั้งแต่
วันที่ 23 มีนาคม 2542
โดยตั้งหมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน
1 7 ในพื้นที่ปัญหา ต่างๆ
แต่รัฐบาลไม่เคยเหลียวแล
จนชาวบ้านต้องพยายามกดดัน
และรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการกลางฯ
เพื่อแก้ไขปัญหา แต่
รัฐบาลก็ยังไม่ยอมปฏิบัติตาม
ที่สำคัญขณะนี้เป็นช่วงที่สภาผู้แทนราษฎร
ใกล้จะหมดอายุ
ซึ่งหากรัฐบาลไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน
ในการแก้ไข สมัชชาคนจน
ก็เท่ากับว่าสมัชชาคนจนก็จะต้องไปเริ่มต้นร้องเรียนใหม่
ในรัฐบาลหน้า
เพราะหลักการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่
เดิมถูกรัฐบาลของนายชวน
ยกเลิกหมดแล้ว
ประการที่
4 กรณีเขื่อนปากมูลชาวบ้านจำเป็นที่จะต้องเร่งรัดให้รัฐบาลสั่งการ
ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
เปิดประตูน้ำเป็นเวลา 4
เดือนเพื่อทดลองให้ปลาขึ้นวางไข่
ตามข้อเสนอแนะของกรรมการกลาง
เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วง
เวลาที่ปลาเศรษฐกิจจากแม่น้ำโขงจะขึ้นมาวางไข่ในแม่น้ำมูล
หากผ่านช่วงเวลานี้ไปก็เท่ากับชาวบ้านต้องรอคอยไปอีกปี
หนึ่ง
ซึ่งยังไม่รู้ว่าปีหน้าจะมีการปฏิบัติที่เป็นจริงหรือไม่
ประการที่
5 กรณีเขื่อนลำคันฉูที่ชาวบ้านร้องเรียนกับรัฐบาลว่า
ตัวเขื่อนมีรอยร้าวเป็นอย่างมาก
ชาวบ้านไม่มีความมั่นใจ
ว่าหากเขื่อนพังลงมา
ชาวบ้านที่อยู่ใต้เขื่อนจะต้องเผชิญกับอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างรุนแรงแน่นอน
ซึ่งคณะกรรม
การกลางฯได้มีมติให้ตั้งกรรมการกลางที่ทั้ง
2
ฝ่ายยอมรับไปตรวจสอบข้อเท็จจริง
ซึ่งหากรัฐบาลไม่สั่งการตามข้อเสนอของ
กรรมการกลางฯ
ก็เท่ากับปล่อยชาวบ้านไปเผชิญกับชะตากรรมที่ไม่อาจคาดเดาได้
โดยเฉพาะช่วงนี้อยู่ในฤดูฝน
น้ำในเขื่อนมีปริมาณมากความเสี่ยงของชาวบ้านก็สูงขึ้นไปด้วย
การเข้าทำเนียบเพื่อกดดันให้
รัฐบาลแก้ปัญหาตามมติกรรมการกลางฯเร็วเท่าไหร่ความปลอดภัยในชีวิต
และทรัพย์สินของชาวบ้านก็มีมากเท่านั้น
ประการที่
6 กรณีปัญหาเร่งด่วนที่คณะกรรมการกลางฯเสนอให้รัฐบาลยุติการดำเนินคดีในระหว่างการแก้ไขปัญหา
ซึ่ง
ส่วนมากเป็นกรณีพื้นที่ป่าไม้
และที่สาธารณประโยชน์
ทับที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของชาวบ้าน
หากรัฐบาลไม่เร่งสั่งการให้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการกลางฯ
ชาวบ้านกลับไปก็ต้องถูกดำเนินคดี
โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นฤดูฝน
ที่ชาวบ้านต้องทำไร่ทำนา
หากยืดเวลาออกไปอีกก็จะไม่สามารถทำการผลิตในปีนี้ได้
ประการที่
7 เนื่องจากรัฐบาลโดยเฉพาะนายชวน
หลีกภัย นายกรัฐมนตรี
มักใช้วิธีการตั้งคณะกรรมการฯแต่ไม่มีการแก้ไข
ปัญหา
และปล่อยให้คนจนชุมนุมต่อไปโดยไม่สนใจใยดีจนกว่าชาวบ้านจะหมดแรงถอยร่นไปเอง
วิธีการเช่นนี้ถูกนำมาใช้
กับคนจนกลุ่มต่างๆตลอดมาตั้งแต่นายชวน
หลีกภัย
เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
สมัชชาคนจนจึงจำเป็นต้องตัดสินใจบุก
เข้าทำเนียบรัฐบาล
หลังจากรอคอยมา 16 เดือน
ประการที่
8 การชุมนุมโดยสงบของชาวบ้านจะถูกละเลยจากรัฐบาลเสมอมา
ระยะเวลา 16
เดือนในการตั้งหมู่บ้านแม่มูน
มั่นยืนเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจน
ในขณะที่ปัญหาความเดือดร้นที่เกิดขึ้นรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ
สมัชชาคนจนจึงจำเป็นต้อง
เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาล
ซึ่งถ้าใช้วิธีอื่นเช่น
ปิดถนน
หรือยึดสถานที่ราชการอื่น
ก็อาจสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน
กลุ่มต่างๆ
การบุกเข้าทำเนียบรัฐบาล
จึงเป็นการกดดันรัฐบาลโดยตรงและมีผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนน้อยที่สุด
ประการที่
9 ท่าทีของรัฐบาลที่ไม่ยอมรับข้อเสนอแนะของกรรมการกลางฯในการแก้ไขปัญหา
ทั้งที่รัฐบาลเป็นผู้แต่งตั้ง
ขึ้นมาเองนั้น
คือการที่รัฐบาลไม่ยอมเป็นผู้จัดการปัญหาที่เกิดขึ้น
วางบทบาทตัวเองอยู่เหนือปัญหา
เป็นเสมือนการยั่วยุให้
มวลชนกลุ่มต่างๆเข้าห้ำหั่นกันเอง
ซึ่งเป็นการสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างมหาศาล
เมื่อคนไทยต้องสู้กับคน
ไทยด้วยกันเอง
สมัชชาคนจนจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เด็ดขาดเพื่อระงับความรุนแรงก่อนเหตุการณ์จะลุกลามบานปลาย
แม้ว่าการที่สมัชชาคนจนบุกเข้าทำเนียบรัฐบาล
จะต้องถูกตั้งคำถามว่าทำผิดต่อกฎหมาย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต
ครอบครัว และ ชุมชน
ของพวกเราในขณะนี้นั้น
มันส่งผลที่รุนแรงแสนสาหัสมาตั้งแต่โครงการต่างๆของรัฐที่ไม่มีการศึกษาผลกระทบอย่าง
รอบด้านและ
ปิดกั้นการมีส่วนร่วมของชุมชนเริ่มดำเนินการ
การดำเนินการโครงการของรัฐ
คือการยึดที่ไร่ที่นา
ทำลายทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างของเรา
ทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่เป็น
พื้นฐานในการเลี้ยงชีพของพวกเรา
เป็นสาเหตุให้ครอบครัวต้องแตกแยก
นำความอดอยาก
ยากจนและสร้างหนี้สินให้กับ
พวกเรา
แต่เมื่อพวกเราลุกขึ้นทวงถามกับถูกกล่าวอ้างว่าผิดกฎหมาย
ทั้งที่ผลของการพัฒนาที่เราได้รับรุนแรงกว่าบทลงโทษของ
กฎหมายใดๆ
ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐอ้างมาเพราะมันคือประหาร
ชีวิต
ครอบครัวและชุมชนของพวกเราทั้งเป็น
สมัชชาคนจนจึง
จำเป็นต้องยืนหยัดต่อสู้ต่อไปเพื่อชัยชนะ
เชื่อมั่นในพลังประชาชน
สมัชชาคนจน
17
กรกฎาคม 2543
|