ใบแจ้งข่าวสมัชชาคนจน
๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๔
"สมัชชาคนจนเปลี่ยนแผนเดินทางไกล
2000 กิโลเมตรหลัง ครม.ให้เปิดเขื่อนครบปี
เครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รายงานจากบ้านท่อค้อใต้ จ.อุบลราชธานี
จากการที่เมื่อวานนี้คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้
กฟผ.เปิดประตูเขื่อนปากมูลให้ครบ
๑ ปี
ปรากฏว่าได้สร้างความยินดีแก่ชาวประมงปากมูน
เป็น อย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตาม
สมัชชาคนจนยังคงเดินหน้ารณรงค์ให้เปิดประตูเขื่อนถาวรโดยเปลี่ยนจากการเดินเท้าเข้ากรุงเทพฯ
เป็นเดินเท้าทั่วอีสานเป็นระยะทางกว่า
๒,๐๐๐ กิโลเมตร
นายสุนทร หอมศิลป์
พรานปลาแห่งบ้านท่าค้อใต้ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งใกล้แก่งสะพือ
อำเภอพิบูลมังสาหาร
จังหวัดอุบลราชธานี
และเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนบ้านกล่าวว่า
ชาวบ้านพอใจมากที่ทราบข่าวว่ารัฐบาลสั่งเปิดประตูเขื่อนออกไปให้ครบหนึ่งปี
เพราะจะทำให้การทำมาหากินไม่ลำบาก
การหาปลาก็ไม่ลำบาก
อย่างเช่นวันนี้ชาวบ้านเหนือแก่งสะพือถึงตาลสุมได้วันละ
500 ปลาที่จับได้ก็เช่น
ปลาจอก ปลาโจก ปลานาง
ปลาน้ำเงิน ปลา อีตู๋
และปลาสะกาง เป็นต้น
บางคนมีรายได้ถึงวันละ ๑,๐๐๐
บาท
ส่วนทางตอนล่างก็เริ่มจับได้มากขึ้น
อีกไม่เกินอาทิตย์หลังจากนี้ไปชาวบ้านจะลงหาปลากันมากเพราะเป็นช่วงที่ปลาเริ่มอพยพกลับลงไปในแม่น้ำโขง
อยากให้มาดูกันตอนที่ชาวบ้านจับปลาว่าการเปิดประตูเขื่อนนั้นมีผลดีต่อชีวิตชาวประมงอย่างไร
เมื่อรัฐบาลเปิดประตูเขื่อนออกไปอีก
นอกจากชาวบ้านจะได้กลับมาหาปลาแล้ว
พวกเรายังดีใจที่จะได้กลับมาทำเกษตรริมน้ำมูน
ตอนนี้หลายคนได้เริ่มปลูกกันแล้ว
และเราจะปลูกกันมากขึ้นตลอดสองฝั่งแม่น้ำมูนที่แต่เดิมเคยจมอยู่ใต้น้ำนับสิบปี
แล้วก็จะเห็นได้ว่าวิถีชีวิตเดิมๆ
ก่อนการสร้างเขื่อนนั้นอุดมสมบูรณ์อย่างไร
อย่างไรก็ตาม
เรายังยืนยัน
ให้เปิดประตูเขื่อนปากมูลถาวร
ถ้าเป็นไปได้ให้เอาเขื่อนออกไปเลย
ค่าชดเชยเราก็ไม่เอา
ขอให้แม่น้ำมูนกลับมาเหมือนเดิมก็ดีใจแล้ว
นายสุนทรกล่าว
ขณะที่ น.ส.วนิดา
ตันติวิทยาพิทักษ์
ที่ปรึกษาสมัชชาคนจนกล่าวว่า
แม้ว่ารัฐบาลจะสั่งให้เปิดประตูเขื่อนให้ครบหนึ่งปี
แต่ขบวนเดินเท้าของสมัชชาคนจนซึ่งประกอบด้วยชาวบ้านที่เดือดร้อนจากการสร้างเขื่อนปากมูล
และเขื่อนราษีไศลยังยืนยันในข้อเรียกร้องเดิมคือให้มีการเปิดประตูเขื่อนปากมูลและราษีไศลอย่างถาวร
อย่างไรก็ตามเราก็เคารพต่อรัฐบาลโดยไม่กดดัน
แต่จะเปลี่ยนแผนการเดินเท้าจากแต่เดิมที่กำหนดไว้ว่าจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ
เป็นการเดินเท้าทั่วอีสานเพื่อรณรงค์ให้ชาวอีสานสนับสนุนให้เปิดเขื่อนถาวร
โดยชาวบ้านตั้งใจว่าจะเดินเท้ากันรวมเป็น
๒,๐๐๐ กิโลเมตร
ให้ผ่านลุ่มน้ำที่สำคัญของอีสานตอนล่างคือ
แม่น้ำมูนและแม่น้ำชี
และเดินทางไปยังอีสานเหนือเพื่อรณรงค์ในเขตลุ่มน้ำสงคราม
ก่อนที่จะเดินเท้าเลียบตามแม่น้ำโขงลงมา
ซึ่งคาดว่าอาจจะใช้เวลาระหว่าง
๘ ถึง ๑๒ เดือน
สมัชชาคนจนเห็นว่าการเปิดประตูน้ำเขื่อนปากมูนและเขื่อนราษีไศลอย่างถาวรนั้น
ไม่เพียงแต่เป็นการฟื้นฟูระบบนิเวศน์แม่น้ำมูน
แม่น้ำ ชี
และชุมชนสองฝั่งแม่น้ำนี้
แต่แม่น้ำมูนเป็นแม่น้ำสาขาที่ใหญ่ที่สุดของแม่น้ำโขง
ดังนั้นการฟื้นฟูแม่น้ำมูนจึงเท่ากับเป็นการฟื้นชีวิตของคนอีสานรวมทั้งคนในเขตลุ่มแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาด้วย
นอกจากนั้น
การเดินเท้าของสมัชชาคนครั้งนี้ยังต้องการบอกต่อคนอีสานให้รับรู้ถึงความผิดพลาดของโครงการพัฒนาที่ผ่านมา
โดยเฉพาะการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่ทำลายชุมชนและวิถีชีวิตของชาวบ้าน
ขณะที่โครงการเหล่านี้แทบจะไร้ประโยชน์จนถึงขั้นที่สามารถรื้อทิ้งไปก็ไม่เสียหาย
ดังนั้นจึงอยากขอร้องให้พี่น้องชาวอีสานและสังคมไทยให้การสนับสนุนการเดินเท้าทางไกลในครั้งนี้
ตามแต่จะสนับสนุนได้ น.ส.วนิดา
กล่าว
ด้านนายไชยณรงค์
เศรษฐเชื้อ
ผู้อำนวยการเครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศไทย
ได้กล่าวว่า
การสั่งให้เปิดประตูเขื่อนออกไปให้ครบหนึ่งปีนั้นล่าช้ามาก
ทำให้พลาดโอกาสในการที่จะเห็นวิถีชีวิตเดิมๆ
ที่แท้จริงของชาวบ้าน
เพราะชาวบ้านไม่กล้าที่จะลงทุนไม่ว่าในเรื่องของเครื่องมือประมงและการทำเกษตรสองฝั่งแม่น้ำมูน
การเปิดประตูเขื่อนครบหนึ่งปียังไม่สามารถที่จะตอบคำถามได้ทั้งหมดเนื่องจากการศึกษาต่างๆ
โดยเฉพาะด้านนิเวศวิทยา
เช่น
เรื่องปลานั้นจะต้องใช้เวลาถึง
๒ ปี
จึงจะมีโอกาสได้ข้อมูลที่รอบด้าน
แต่อย่างไรก็ตาม การที่ ครม.มีมติให้เปิดประตูเขื่อนครบ
๑ ปีนั้น
ก็ยังมีผลดีอยู่บ้างเพราะจะทำให้ปลามีโอกาสเดินทางกลับมาวางไข่ได้อีกครั้งและทำให้ธรรมชาติมีการฟื้นฟูตนเอง
รวมทั้งจะทำให้เห็นวิถีชีวิตของชุมชนชาวปากมูลในระดับหนึ่งแม้จะไม่ทั้งหมด
ดังจะเห็นได้ว่าขณะนี้ชาวบ้านซึ่งทำวิจัยด้วยตนเองที่เรียกว่างานวิจัยชาวบ้านนั้นก็พบพันธุ์ปลาเพิ่มขึ้นเป็น
๑๓๐ ชนิด
และช่วงที่ปลาเดินทางกลับแม่น้ำโขงในช่วงนี้ก็คาดว่าจะพบพันธุ์ปลาเพิ่มขึ้นอีกมาก
สิ่งที่ต้องกังวลในขณะนี้ก็คือ
การที่จะต้องช่วยกันปราบไมยราพย์ยักษ์ซึ่งระบาดอย่างหนักในช่วงสิบปีที่มีการกักเก็บน้ำเขื่อนปากมูล
รวมทั้งเขื่อนราษีไศล
ปัญหานี้ตนเสนอว่ารัฐบาลจะต้องรีบสนับสนุนให้ชาวบ้านเข้าไปปราบพืชชนิดนี้อย่างเร่งด่วน
เพราะพืชนี้เป็นพืชต่างถิ่นที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศน์โดยเฉพาะอุปสรรคในการ
ทำเกษตรกรรมสองฝั่งแม่น้ำมูนที่สำคัญต่อการดำรงชีพของชาวบ้าน
และการรุกรานพืชท้องถิ่นที่อาจจะทำให้พืชที่เป็นทั้งพืชอาหารและยาสมุนไพรของชาวบ้านสูญหายไป
นายไชยณรงค์ กล่าว |