ใบแถลงข่าว
เครือข่ายแม่น้ำเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
"กฟผ.ต้องหยุดทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ"
สืบเนื่องจาก
กฟผ.ได้ปฏิเสธที่จะเปิดประตูเขื่อนปากมูลทั้ง
8 บานโดยมีข้ออ้างต่าง ๆ
นานานั้น นายไชย ณรงค์
เศรษฐเชื้อ
ผู้อำนวยการเครือข่ายแม่น้ำเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
แถลงตอบโต้ว่า ข้ออ้างที่
กฟผ.อ้าง
นั้นเป็นข้ออ้างเก่า ๆ
ที่พิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง
ประการแรก ข้ออ้างที่ว่าการเปิดประตูน้ำจะเสียผลผลิตที่ควรจะได้ในเรื่องการผลิตไฟฟ้า
ข้ออ้างนี้นับว่า
เป็นข้ออ้างที่สะท้อนให้เห็นความเห็นแก่ตัวของ
กฟผ. และการที่ กฟผ.คำนึงแต่ประโยชน์ขององค์กรแต
่ฝ่ายเดียว
โดยไม่คำนึงถึงชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ
เพราะขณะนี้ กฟผ.มีทางเลือกอื่นมากมายที่จะหา
ไฟฟ้ามาทดแทนไฟฟ้าที่ขาดหายไปจากเขื่อนปากมูล
เช่น
การเดินเครื่องโรงไฟฟ้าอื่น
ๆ ที่มีอย่างเหลือ เฟือถึง
5,000 เมกกะวัตต์ เป็นต้น
รวมถึงการใช้มาตรการอื่น ๆ
ที่ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม
ในขณะที่ชาวบ้าน
ปากมูลไม่มีทางเลือกอื่นเลย
หาก กฟผ.ตระหนักถึงความเป็นธรรมแล้ว
ไฟฟ้าที่ได้จากเขื่อน
ปากมูลที่เป็น กำไรของ กฟผ.นั้นต้องแลกกับการสูญเสียวิถีชีวิตชาวประมงลุ่มน้ำมูลนั่นเอง
และตอนนี้ชาวบ้านก็หมด
เนื้อหมดตัวมา 7 ปีแล้ว
ขณะที่เจ้าหน้าที่ กฟผ.นั้นสุขสบาย
ทำตัวหรูหรา เช่น ผู้ว่า
กฟผ.เช่ารถถึงเดือนละ 60,000
บาท ตนจึงเห็นว่า กฟผ.น่าจะเสียสละบ้าง
ไม่ใช่จะหาประโยชน์จากความทุกข์ของชาวบ้านอย่าง
เดียว
ประการที่สอง ข้ออ้างที่ว่า
การเปิดประตูน้ำ
จะเกิดผลกระทบต่อผู้ที่ใช้น้ำในการอุปโภคบริโภคและพื้นที่
การเกษตร 40,000 ไร่ นั้น
เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเนื่องจากการเปิดประตูระบายน้ำออกไม่ได้ทำให้แม่น้ำ
มูนแห้งแต่อย่างใด
เพราะแม่น้ำมูนตั้งแต่พิบูลลงไปจนถึงโขงเจียมมีแก่งต่าง
ๆ ถึง 50 กว่าแก่ง
แก่งเหล่านี้
เหมือนกับเขื่อนธรรมชาติที่ควบคุมน้ำในแม่น้ำมูนไม่ให้แห้งอยู่แล้ว
ดังนั้นการเปิดประตูเขื่อนจึงไม่ได้ทำ
ให้คนที่อยู่เหนือน้ำเดือดร้อน
ยกเว้นพวกที่ กฟผ.จัดตั้งเท่านั้น
ขณะที่ข้ออ้าง
ที่ว่าพื้นที่เกษตร 40,000 ไร่
อาจจะได้รับผลกระทบนั้น
ก็ไม่จริงเนื่องจากเขื่อนปากมูลไม่มีพื้นที่ชลประทานแม้แต่ไร่เดียว
ตนจึงไม่เข้า ใจว่า กฟผ.ปั้นตัวเลขนี้มาจากไหน
ประการที่สาม ข้ออ้างที่ว่าบันไดปลาโจนใช้งานได้จริงนั้น
เป็นข้ออ้างที่ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง
เพราะแม้
แต่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องปลาของกรมประมงซึ่งเป็นหน่วยงานที่ออกแบบบันไดปลาโจน
ก็ยอมรับว่าปลา ผ่าน
บันไดปลาโจนได้น้อยมาก
บางวันผ่านแค่ 2 ตัวก็มี
และการอ้างว่ามีการดักปลาที่แก่งตะนะนั้นทำให้ปลา
ไม่สามารถขึ้นบันไดปลาโจนได้ก็เป็นเรื่องตลก
เนื่องจากแก่งตะนะห่างจากเขื่อนปากมูลถึง
1.5 กิโลเมตร
และการที่ชาวบ้านจะจับปลาที่นั่นก็เป็นสิทธิของเขาเพราะกฎหมายห้ามจับปลา
500 เมตรจากท้ายเขื่อน
แต่อย่างไรก็ตาม
จากการลงดูพื้นที่
ชาวบ้านจับปลาที่แก่งตะนะได้ยากมาก
เนื่องจากเวลาเขื่อนไม่ปล่อย
น้ำก็ไม่มีปลาขึ้นมาจากแม่น้ำโขง
เวลาเขื่อนปล่อยน้ำน้ำก็ไหลเชี่ยวมากจนเป็นอันตรายไม่สามารถจับปลา
ได้ ตนเห็นว่าข้ออ้างของ
กฟผ.นั้นประหลาดมากขึ้นเรื่อย
ๆ อีกหน่อย กฟผ.ก็คงจะอ้างว่าปลาไม่ขึ้นบันได
ปลาโจนเพราะมีการจับปลาในแม่น้ำโขงแน่เลย
ดังนั้นตนจึงอยากให้ กฟผ.หยุดอ้างเรื่อยเปื่อยเสียที
ประการที่สี่
การอ้างว่า กฟผ.ไม่จำเป็นต้องเปิดประตูระบายน้ำเพราะมีการสนับสนุนการเลี้ยงปลาใน
บริเวณเหนือเขื่อน
นั้นเป็นข้ออ้างที่ไม่มีเหตุผลรองรับ
จากการสำรวจพบว่า กฟผ.ได้เข้าสนับสนุนชาว
บ้านจริง โดย กฟผ.เข้าสนับสนุนให้ขุดบ่อ
บอกว่าจะเอาน้ำเอาพันธุ์ปลามาให้
แต่ตอนนี้เหลือแต่บ่อเปล่า
ที่แห้ง ไม่มีปลาเลี้ยง
ตอนนี้มีกรรมการกลางตนอยากเสนอให้คณะกรรมการลงไปดูข้ออ้างนี้ที่บ้านหัวเห่ว
ได้เลย
ถ้ากรรมการเห็นโครงการสนับสนุนการเลี้ยงปลาของ
กฟผ.แล้ว เชื่อแน่ว่า
สามารถสรุปได้ทันทีว่า
โครงการนี้เหมือนกับการทำงานของเด็กอมมือมากกว่าที่จะมุ่งการแก้ปัญหาของชาวบ้าน
นอกจากนั้น
การที่ กฟผ.จะดำเนินการปล่อยกุ้งก้ามกราม
1,000,000 ตัวในวันที่ 14 มิถุนายน
นี้ ตนเห็นว่า
ควรจะยกเลิกได้แล้ว
เพราะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
และเป็นการปล่อยกุ้งเพื่อเอาภาพไม่ต่างอะไร
เลยกับการใช้เงินซื้อหน้าโฆษณา
เพราะขณะนี้มีรายงานชัดเจนแล้วว่า
ผลของการปล่อยกุ้งนั้น
ได้กุ้งกลับ มาเพียง 6-15 ตัน
หากเฉลี่ยกุ้งจำนวนนี้กับชาวบ้านที่เดือดร้อนจากเขื่อนปากมูลแล้ว
แต่ละครอบครัวจะได้
กุ้งปีละ 0.9-2.4
กิโลกรัมหรือวันละ 0.003-0.007
กิโลกรัมเท่านั้น
ตนจึงอยากถามว่า
กุ้งจำนวนเท่านี้หรือที่
จะให้ชาวบ้านปากมูนอยู่รอด
ส่วนที่มีการถ่ายรูปชาวบ้านถือกุ้งมากมายนั้น
แท้จริงแล้วเป็นผู้ใหญ่บ้านที่
กฟผ.จ้างให้ไปซื้อกุ้งจากตลาดมารวม
ๆ
กันแล้วถ่ายรูปเพื่อโชว์นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้
ตนจึงขอให้ กฟผ.หยุดการอ้างที่เห็นแก่ตัวและไม่มีเหตุผลรองรับได้แล้ว
เพราะการที่ กฟผ.ดัน
ทุรังต่อไป
ก็จะยิ่งผูกมัดตัวเองมากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญก็คือ กฟผ.ควรจะตระหนักถึงประโยชน์ของคนท้องถิ่น
และคนภาคอีสานบ้าง
ไม่ใช่คำนึงถึงประโยชน์ขององค์กรอย่างเดียว
การคำนึงแต่ประโยชน์ของตนเอง
อย่างเดียวนั้นท้ายที่สุดแล้วจะทำให้
กฟผ.อยู่อย่างโดดเดี่ยวในสังคมในวันข้างหน้า
|