รายงานระบุ
เขื่อนปากมูลล้มเหลวในทุกด้าน
: แพงและมีแต่ทำลาย
บางกอกโพสต์ 20 กันยายน 43 (ฉบับแปล)
คณะกรรมการเขื่อนโลกประกาศชัด
เขื่อนปากมูลล้มเหลวในทุกๆด้าน
ในรายงานที่ออกมาเมื่อวานนี้ระบุว่าเขื่อนปากมูลไม่มีความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจ
ก่อความเสียหายอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศ
วิทยาของแม่น้ำมูล
และทำลายวิถีชีวิตของชาวบ้าน
รายงานฉบับนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการวิเคราะห์เขื่อนในลุ่มน้ำโขงเขื่อนนี้อย่างรอบด้านและเป็นอิสระ
และเป็นการยืนยันผลของ
รายงานที่หลุดรอดออกมาสู่สื่อมวลชนก่อนหน้านี้
ซึ่งเคยถูกโต้แย้งมาแล้วโดยกฟผ.ผู้เป็นเจ้าของโครงการ
เขื่อนปากมูลเป็นหนึ่งในเจ็ดเขื่อนทั่วโลกที่คณะกรรมการทำการศึกษาโดยมีการประมินตรวจสอบผลกระทบทั้งใน
ทางเศรษฐ ศาสตร์
สิ่งแวดล้อม สังคม
กระบวนการการตัดสินใจและโครงสร้างอำนาจที่ผลักดันโครงการ ถือเป็นความพยายามที่จะ
หาข้อ
สรุปร่วมในสนามรบของการพัฒนาทรัพยากรที่ดำเนินไปอย่างดุเดือด
นายเจมส์ เวิร์คแมน
โฆษกของคณะกรรมการ กล่าว
ต่อประเด็นเรื่องประโยชน์ของโครงการที่มีการคาดการณ์ไว้และประโยช์ที่เกิดขึ้นจริง
ต้นทุนและผลกระทบนั้น
ส่วนต่าง
ระหว่างต้นทุนซึ่งคาดการณ์ไว้ที่
3.88 พันล้านบาท
กับต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง 6.507
พันล้านบาทนั้นไม่ถือว่ามากเกินไป
แต่อย่างไรก็ตาม
ต้นทุนของค่าชดเชยและการจัดหาที่ทำกินให้ใหม่นั้นเพิ่มขึ้นถึง
182 %
นั่นคือจากที่คาดการณ์ไว้
231,550,000 บาทนั้น เพิ่มขึ้นไปถึง
1,113,100,000 บาท ค่าชดเชยสำหรับความสูญเสียในด้านประมง
ซึ่งไม่ได้มีการคาดการณ์ไว้แต่เดิมนั้น
สูงถึง 395,600,000 บาท
กำลังไฟฟ้าที่ผลิตได้จริงของเขื่อนปากมูลเมื่อคิดจากกระแสไฟที่จ่ายออกมารายวันในระหว่างปี
1995-1998 นั้น ได้เพียง 20.81
เมกะวัตต์
ในขณะที่ตัวเลขที่คาดการณ์ไว้คือ
150 เมกะวัตต์ โครงการนี้ถือได้ว่าไม่มีความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจ
รายงานฉบับ ดังกล่าวระบุ
เขื่อนปากมูลเป็นโครงการเขื่อนเอนกประสงค์
แต่ประโยชน์ที่ได้ในการชลประทานยังไม่มีให้เห็นอย่างชัดเจน ปริมาณปลาที่
คาดว่าจะได้จากเขื่อนขนาด 60
ตารางกิโลเมตรแห่งนี้
คาดการณ์ไว้ที่ 100 กิโลกรัม/1
หมื่นตารางเมตร/ปีในกรณีที่ไม่มีการ
เพาะพันธุ์ปลา และ 220
กิโลกรัม/1 หมื่นตารางเมตร/ปี
ในกรณีที่มีโครงการเพาะพันธุ์ปลา
แต่ปรากฏว่าตัวเลขที่เป็นจริงที่สุดกลับอยู่ที่
10 กิโลกรัม/1 หมื่นตารางเมตร/ปี
จำนวนครอบครัวที่ต้องอพยพโยกย้ายมีถึง
1,700
ครอบครัวจากที่คาดการณ์ไว้เพียง
241 ครอบครัว
เนื่องจากปริมาณปลาลดลง
ในจำนวนพันธุ์ปลา
265
ชนิดที่บันทึกได้ในเขตต้นน้ำมูล-ชีก่อนปี
2537 นั้น มีเพียง 96
ชนิดที่บันทึกได้ในเขตพื้นที่ต้นน้ำ การ
จับปลาในเขตต้นน้ำลดลงถึง
60-80 %
เส้นทางปลาหรือบันไดปลาโจนที่สร้างขึ้นหลังจากเขื่อนเสร็จ
ด้วยมูลค่า 2 ล้านบาทนั้น
ล้มเหลวในการช่วยปลาให้ว่ายทวนน้ำ
ต้นทุนในการทำบ่อสำหรับกุ้งน้ำจืดอยู่ระหว่าง
31,920 และ 444,240 ในแต่ละปี (หรือ 1.213
ล้านบาทถึง 1.681 ล้านบาท
ที่ค่าเงิน 38 บาท/ดอลลาร์)
ในระหว่างปี 2538-2541
อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากกุ้งพันธุ์ดังกล่าวไม่สามารถขยายพันธุ์ได้ในน้ำจืด
การเพาะพันธุ์ดังกล่าวจึงอาจไม่สามารถเพิ่มรายได้
อะไรให้แก่ชาวประมง
รายงานระบุว่าปริมาณปลาที่ชาวบ้านจับได้นั้นลดลงถึง
50-100 % และพบว่าพันธุ์ปลาหลาย
ชนิดสูญหายไป แก่งธรรมชาติมากกว่า 50
แก่งซึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของปลาหลายชนิด
จมน้ำอย่างถาวร
โดยที่รายงานผลกระ
ทบสิ่งแวดล้อมของโครงการนี้ไม่เคยประเมินความสูญเสียดังกล่าว
ในประเด็นที่ว่าใครคือผู้ที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์
รายงานฉบับนี้สรุปว่า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกรายเป็นผู้เสียประโยชน์
ไม่เพียงจากสาเหตุที่ระบบนิเวศเสียหาย
แต่รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการพยายามบรรเทาผลกระทบซึ่งดูท่าว่าจะไม่สามารถ
บรรเทาได้
รายงานฉบับดังกล่าว
ตำหนิส่วนราชการที่ไม่ได้มีการหารือกับชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบเสียก่อนตั้งแต่ในช่วงแรกของกระ
บวนการตัดสินใจ
รวมทั้งการที่ไม่พยายามให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจหรือกระบวนการแก้ไขผล
กระทบ
รายงานยังระบุว่าโครงการนี้ไม่เป็นไปตามแนวทางที่ธนาคารโลกกำหนดให้มีการประเมินผลกระทบ
ทางสิ่งแวดล้อมและการ
หามาตรการแก้ไขผลกระทบอย่างเหมาะสมก่อนดำเนินโครงการ
|