กมธ.ชี้ทางออก 'ปากมูน'
ใช้ความรู้แทนความเห็นตัดสิน
โดย
ผู้จัดการออนไลน์
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2546
http://www.manager.co.th/politics/PoliticsView.asp?newsID=4674681288003
กมธ.ของวุฒิสภา
แนะรัฐต้องตัดสินใจ "ปากมูน"
บนองค์ความรู้หรืองานวิจัย
มากกว่าการสำรวจความเห็น
ไม่เช่นนั้นแก้ปัญหาความขัดแย้งไม่ได้
ขณะเดียวกันเตรียมหารือ กมธ.ชุดอื่นๆ
และ กมธ.สิทธิมนุษยชนฯ
หาทางออกเสนอต่อรัฐบาล
กรณีรัฐบาลได้สรุปปัญหาเขื่อนปากมูล
โดยให้เปิดเขื่อน 4
เดือนและปิด 8 เดือน
ขัดแย้งกับความเห็นของคณะกรรมาธิการฯ
และชาวบ้านสมัชชาคนจนที่เสนอให้เปิดตลอดทั้งปี
น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ส.ว.อุบลราชธานี
และกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน
วุฒิสภา กล่าวว่า
คณะกรรมาธิการฯ
ได้หารือกันเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
และเห็นตรงกันใน 3 ประเด็น
คือ
1.
ยืนยันในข้อสรุปเดิมของคณะกรรมาธิการฯ
ที่ได้เสนอนายกรัฐมนตรีไปว่า
กรณีเขื่อนปากมูลจะต้องใช้การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ยึดเรื่ององค์ความรู้หรืองานวิจัยของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
มากกว่าไปสอบถามความเห็นหรือใช้แบบสอบถาม
2.
รัฐบาลจะต้องมองไกลไปถึงปัญหาความขัดแย้งเชิงระบบโครงสร้าง
ซึ่งเป็นแนวคิดในการพัฒนาที่มีความแตกต่างกัน
หากรัฐบาลยังมองในเรื่องของเสียงข้างมาก
เสียงข้างน้อย
จะไม่ใช่แนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
ตรงกันข้ามจะทำให้ความขัดแย้งขยายบานปลายมากขึ้น
3.
ในภารกิจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการฯ
คงต้องพยายามเสนอแนวทางในการแก้ปัญหานี้ในเชิงนโยบาย
โดยจะหารือกับคณะกรรมาธิการชุดอื่นๆ
รวมทั้งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
เพราะเราเชื่อว่า
ข้อสรุปเกี่ยวกับปัญหาเขื่อนปากมูลครั้งนี้
จะทำให้ปัญหาความขัดแย้งยังคงอยู่
และเกิดความรุนแรงในสังคมขึ้นได้
"คณะกรรมาธิการฯ
คงต้องหารือกับคณะกรรมาธิการชุดอื่นๆ
รวมทั้งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติว่า
ควรแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวอย่างไร
รวมทั้งดูว่าหากมีการเปิดสมัยประชุมรัฐสภาในช่วงต้นเดือนหน้า
ประเด็นนี้จะมีวิธีการนำเสนอเข้าสู่ระบบการทำงานของวุฒิสภา
ในการตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาลอย่างไรบ้าง"
นพ.นิรันดร์กล่าว
ส.ว.อุบลราชธานี
กล่าวว่า
กรณีปัญหาเขื่อนปากมูลจะสอดคล้องกับวิธีคิดในการแก้ไขปัญหาวิกฤตความยากจน
ซึ่งการที่รัฐบาลตัดสินโดยการใช้แบบสอบถาม
เป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่า
รัฐบาลยังมองนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจนที่ไม่ถูกต้อง
ทั้งที่น่าจะเอางานวิจัยทางวิชาการมาเป็นเครื่องตัดสินใจ
โดยเฉพาะดูในเรื่องของสิทธิของชุมชนเป็นสำคัญ
ส่วนตัวเห็นว่าการแปลงสิทธิชุมชมเป็นทุน
จะก่อให้เกิดประโยชน์ในเรื่องเศรษฐกิจชุมนุมแบบยั่งยืน
มากกว่าการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน |