"บัณฑร
อ่อนดำ" นำทางแก้ปากมูล
รัฐบาลจริงใจ-กฟผ.ไม่ใช่เจ้าของ
ข่าวสด
25 มิถุนายน 2543
เรื่อง
/ ภาพ - ศรีนิตย์ ศรีอาภรณ์
ระหว่างที่ปัญหาเขื่อนปากมูล
กลายเป็นประเด็นร้อนของประเทศ
เกิดการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายปกครอง
กฟผ. และ
ชาวบ้านในนามสมัชชาคนจน
ชื่อของนักวิชาการอิสระ
วัย 65 ปี อาจารย์บัณฑร
อ่อนดำ
จากมูลนิธิวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาเอเชีย
ก็ได้รับการเสนอ
ให้เข้ามาเป็นคนกลางเพื่อไกล่เกลี่ยปัญหา
กระทั่งได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลให้เป็นประธานคณะกรรมการกลางเพื่อแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน
ซึ่งมีเขื่อนปาก
มูลเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญ
ประธานคณะกรรมการกลางเพื่อแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน
พร้อมด้วยคณะกรรมการได้ลงมือทำงานอย่างมุ่งมั่น
ทุ่มเทมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ความรู้สึกเป็นอย่างไร 'ข่าวสดหรรษา'
ได้รับโอกาสจาก
อาจารย์บัณฑร อ่อนดำ ที่สละ
เวลาเปิดใจให้ฟังดังนี้
ถาม -
ความรู้สึกที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าร่วมเป็นกรรมการกลางแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจนครั้งนี้
อ.บัณฑร -
ความเป็นมาเรื่องนี้เกิดจากการที่คณะส.ว.ลงมาดูพื้นที่และรับฟังปัญหาจากชาวบ้าน
ระหว่างที่มีข่าวเรื่อง
การปราบผู้ชุมนุม
คุณโสภณ สุภาพงษ์ ส.ว.กทม.
ได้เสนอชื่อผมเข้ามาทำงานประสานงานระหว่างภาครัฐ
เพื่อแก้ไขปัญหาการเผชิญ
หน้า
ความไม่ไว้วางใจต่อกันในทั้งสองฝ่าย
เพราะเกรงเหตุการณ์จะวิกฤต
นำไปสู่การเปิดเวที 3
ฝ่ายเจรจากันที่ศูนย์
ฝึกอบรมสาธารณสุขอำเภอโขงเจียม
จังหวัดอุบลราชธานี
โดยผมได้รับหน้าที่เป็นประธานดำเนินการประชุมรับฟังความทุกข์จากทุกฝ่าย
สร้างบรรยากาศที่ดีและความเข้าใจ
เกิดขึ้น
ทุกฝ่ายก็เห็นตรงกันว่าทุกข์ของแต่ละฝ่ายที่มีมันแก้เองไม่ได้
ต้องให้ข้างบนซึ่งคือรัฐบาลเป็นผู้แก้
ได้ข้อเสนอว่าจะต้องมีคณะกรรมการกลางเข้ามาดูแลปัญหานี้
กระทั่งเกิดเหตุสมัชชาคนจนบุกเข้าทำเนียบเมื่อคืน
วันที่ 28 พฤษภาคม
เราก็เกรงว่าจะเป็นเหตุอ้างว่าทางสมัชชาคนจนหักหลังแล้วปราบชาวบ้านอีก
แต่ด้วยเงื่อนไขการ
ต่อรองเป็นไปด้วยดีนำไปสู่การออกคำสั่งของนายบัญญัติ
บรรทัดฐาน รองนายกฯและรมว.มหาดไทย
ยืนยันไม่มีการ
ทำร้ายประชาชนและความตั้งใจในการตั้งกรรมการกลางมาแก้ไขปัญหา
ตอนนั้นเราก็คิดอยู่
ว่าในฐานะที่เราเป็นแอ๊กติวิสต์
ทำงานตอบสนองสคจ. (สมัชชาคนจน)
โดยเป็นที่ปรึกษาอยู่
อีกทั้ง
บทบาทของนักวิชาการติดดิน
ทำงานอยู่กับองค์กรชาวบ้านระดับฐานราก
เราก็เชื่อว่าที่สคจ.เสนอชื่อเราให้มาเข้าร่วม
เป็นกรรมการ
เพราะอยากให้เรามาเป็นเสียงที่คอยปกป้องประโยชน์ของชาวบ้าน
ทำอย่างไรที่จะแก้ไขปัญหาของ
พวกเขาได้
ในทางส่วนตัวผมมองว่ากรรมการที่มาต้องเห็นใจคนจน
รู้สถานการณ์
คลุกคลีกับเรื่องนี้
สามารถนำเสนอปัญหา เดิม
การเสนอรายชื่อคณะกรรมการกลางของสคจ.ครั้งแรก
มีชื่อพี่ทองใบ ทองเปาด์ ส.ว.มหาสารคาม
ทนายความแมก ไซไซ
รับหน้าที่ประธานคณะกรรมการ
ซึ่งถือว่าเยี่ยมมากที่อย่างน้อยมีนักกฎหมาย
มีนักวิชาการหลากหลายสาขา
เป็นผู้สนับสนุนข้อมูล
นักแอ๊กติวิสต์ที่เชื่อมโยงกับประชาชน
เข้ามาทำงานร่วมกัน
สำหรับผมแม้จะเรียนทางด้านรัฐศาสตร์มาแต่กลับไม่ค่อยสนใจ
ถนัดในทางประสานงานกับภาคประชาชน
คือเป็น
บทบาทนักพัฒนาเต็มตัว
เตรียมประชาชนให้ต่อสู้
เรียกว่า 'โซเชี่ยล
เอ็นจิเนียร์'
แต่ภายหลังรูปแบบของคณะกรรม
การกลางที่ออกมาระบุว่ากรรมการ
10 คนมาจากชื่อที่สคจ.เสนอมา
5 คน รัฐบาลเสนอมาอีก 5 คน
เมื่อได้เห็นรายชื่อก็
คิดว่าดี
สมบูรณ์ที่มีหลากหลายสาขา
โครงสร้างที่ออกมาก็ดูเท่าเทียมกัน
ถาม -
ความรู้สึกที่ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการกลาง
อ.บัณฑร -
ตอนที่มีชื่อในคำสั่งแต่งตั้งออกมายังไม่ทราบว่าใครจะรับหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการกลางชุดนี้
อย่างไรก็ตามจากการประชุมในนัดแรกวันที่
7 มิถุนาฯ
เดิมตามโผคิดแบบการเมืองเชื่อว่าอาจารย์เอนก
เหล่าธรรมทัศน์
คณบดีคณะรัฐศาสตร์
ธรรมศาสตร์
กรรมการที่ฝ่ายรัฐบาลเสนอมาจะรับหน้าที่ประธานเชื่อมให้มีการสั่งการเกิดขึ้นได้
กลายเป็นว่าอาจารย์เอนกกลับเสนอให้ผมเป็นประธานของคณะกรรมการชุดนี้
ซึ่งกรรมการทุกคนก็เห็นดีด้วยไม่มี
เสียงคัดค้าน ทั้งที่เดิมเราอยากเป็นแค่กรรมการจะได้เสนอข้อมูลได้เต็มที่
หรือถ้าจะมีตำแหน่งก็ขอเป็นเพียงแค่เลขา
นุการที่ประชุม
จนมีการแต่งตั้งผมก็แปลกใจที่รัฐบาลยอมรับ
เพราะปกติแล้วจุดยืนของตัวเองนั้นชัดเจนเกินไป
ในวงราชการหรือ
นักวิชาการต่างก็ไม่ยอมรับบทบาทของผม
เพราะที่เล่าเรียนมาทางด้านรัฐศาสตร์ก็ไม่ได้ไปเอาดีในการเป็นผู้ว่าฯ
นายอำเภอ
เหมือนกับเพื่อนในรุ่นเดียวกัน
ในวงวิชาการก็ลงไปทำงานกับชาวบ้านเป็นเหมือนเอ็นจีโอมากกว่า
ถาม -
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้เป็นอย่างไร
ขนาดไหน
อ.บัณฑร -
เรารู้มาแต่แรกแล้วว่าคณะกรรมการไม่มีอำนาจอะไร
แต่ที่เข้ามาทำ
งานส่วนหนึ่งเราคาดหวังว่า
เพราะเราไม่อยากให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่าง
2 ฝ่าย
กรณีเขื่อนปากมูลเป็นหลัก
นอกจากนี้เรามองเรื่องขององค์ความรู้จากการแก้ไขปัญหาระยะยาว
ด้วยเหตุผลที่อยากช่วยต่อจากสิ่งที่
ส.ว. แสดง
ความเป็นห่วงในปัญหาที่เกิดขึ้น
โดยรับหน้าที่เป็นกรรมการเพื่อดึงข้อมูลเรื่องปากมูลมาเปิดเผย
และภายหลังจากการเข้ามาเป็นกรรมการแล้วเราอยากให้ส่วนกลางเข้ามารับผิดชอบ
รัฐบาลโดยเฉพาะนักการเมือง
จะปฏิเสธความรับผิดชอบ
โดยให้กฟผ.หรือจังหวัดทำไม่ได้
ท้ายที่สุดหากไม่มีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหานี้
เราคงต้องใช้อำนาจทางสังคม
นำข้อมูลออกมาเปิดเผยตรงนั้นสังคม
ก็จะเคลื่อนจากที่รับข้อมูลข้อเท็จจริงตรงนี้
ถาม -
ประชุมคณะกรรมการกลางมาแล้ว
3 ครั้ง พอใจแค่ไหน
อาจารย์บัณฑร -
การประชุมคณะกรรมการกลางครั้งแรกที่ได้มา
คือทำให้เกิดคำสั่งจากนายบัญญัติที่ให้ทุกฝ่ายยุติ
กิจกรรมใดๆ
ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งและการเผชิญหน้ากัน
เพื่อให้บรรยากาศการทำงานหาข้อสรุปเป็นไปอย่าง
ราบรื่น
ตรงนี้เป็นเรื่องความปลอดภัยที่เกิดขึ้น
เราเดินเรื่องจนเป็นตัวคำสั่งออกมาชัดเจน
อย่างไรก็ตามข้อผิดพลาดหนึ่งจาก
การทำงานคือการประชุมครั้งแรก
เราแถลงแต่ไม่มีการทำหนังสืออย่างเป็นทางการเสนอต่อรัฐบาล
ครั้งแรกกรรมการก็
เสนอความเห็นว่าน่าจะเปิดประตูระบายน้ำของเขื่อนปากมูล
โดยสมมติฐานที่จะให้มีการทดสอบผลกระทบที่เกิดขึ้น
ปรากฏว่ามีปฏิกิริยาออกมาจากระดับล่างว่า
กฟผ.ขู่จะดำเนินการกับชาวบ้านวันที่
15 มิถุนาฯ
ตรงนี้มีแต่คนของฝ่ายกฟผ.
จังหวัด
และส่วนราชการไม่เอาด้วย
นำไปสู่การประชุมคณะกรรมการในครั้งที่
2 เมื่อวันที่ 12 มิถุนาฯ
ที่เราเรียกตัวแทนจากกฟผ.
และชาวบ้านมาให้ข้อมูล
ครั้งนั้นเราซักกันมาก
โดยยังคงยืนยันตามมติว่ากรณี
ปากมูลต้องเปิดประตูระบายน้ำของเขื่อนทั้ง
8 บาน
เพื่อให้ปลาขึ้นไปวางไข่หลังจากที่โยนหินถามทางในการประชุม
ครั้งแรก
จากนั้นเราทำหนังสือถึงนายบัญญัติ
และกับการประชุมกรรมการครั้งที่
3 เมื่อวันที่ 21 มิถุนาฯ
เรารับฟังข้อมูลเพื่อหา
แนวทางสำหรับการแก้ไขปัญหาระยะกลางและระยะยาวกรณี
15 ปัญหา
และเร่งสรุปเรื่องการตั้งคณะกรรมการเปิด
เขื่อนโดยเฉพาะ
กรณีปากมูลซึ่งอยู่ในรูปเฉพาะกิจ
เปลี่ยนโครงสร้างให้ผู้ว่าฯเป็นประธานเพื่อการสั่งการ
มีโครง
สร้างชัดเจนเป็นกรอบไว้
เราจะตามไปชี้แจงด้วยภายหลังจากทำหนังสือให้รัฐบาลใช้อำนาจสั่งการตั้งคณะกรรมการเปิดเขื่อนชุดนี้
ไม่ต้องห่วง
ในเรื่องที่เกรงว่ากรรมการที่มาทำงานจะได้คนที่ไม่เหมาะสม
เพราะส่วนของคณะกรรมการกลางวางแผนแก้เกมส่วน
นี้ไว้
ส่วนการประชุมในวันที่ 29
มิถุนาฯ
ซึ่งคาดว่าจะเป็นนัดสุดท้ายก็จะนำเสนอทางแก้ไขปัญหาทั้งระยะกลางและระยะ
ยาว
โครงสร้างทั้งหมดจะออกมาหมด
อย่างไรก็ตามช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่
หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
คณะ
กรรมการกลางคงไม่ขอต่อเวลาการทำงาน
เราไม่อยากอยู่นาน
เมื่อเสนอรูปธรรมไปแล้วถ้ารัฐไม่นำไปปฏิบัติก็ช่วยไม่ได้
เราจะใช้พลังทางสังคมกดดันจากข้อมูลที่ไหลออกมา
อย่างน้อยสังคมก็ได้รับทราบข้อมูลรอบด้าน
หูตาสว่าง
ไม่ตัดสินใจผิดอย่างเช่นอดีต
ที่พิพากษาจากข้อมูลที่เอียง
กระเท่เร่
ในทางนามธรรมคนมองสมัชชาคนจนในทางที่ดี
ไม่ใช่คิดว่าเป็นผู้ร้าย
แต่ถ้ามองจากนามธรรมจากวัตถุมันตีค่าออกมา
ไม่ได้ในรูปใดๆ
ถาม -
ที่ผ่านมาปัญหาสำคัญที่เกิดกับการทำงานของคณะกรรมการชุดต่างๆ
ที่รัฐบาลตั้งขึ้นก็คือ
ไม่มีการทำงานอย่าง
ต่อเนื่องให้เป็นรูปธรรม
อ.บัณฑร -
เราต้องมองในระยะสั้นก่อนว่าเรื่องการเปิดเขื่อนนั้นต้องใช้กระบวนการพูดคุยกันในเบื้องต้น
เพื่อหาทาง
ออกคลี่คลายไปในทางที่ดี
โดยมีฝ่ายรัฐเข้ามาดูแลปัญหานี้
ส่วนในระยะยาวนั้นรัฐบาลจะต้องเปลี่ยนแปลงนโยบาย
โดยเฉพาะนโยบายด้านการพัฒนาของรัฐที่ก่อให้เกิดปัญหา
และผลกระทบตามมา
ส่วนในรายละเอียดที่คงนำไปพูดคุยในการประชุมของคณะกรรมการกลางเพื่อแก้ไขปัญหา
ระยะยาวครั้งหน้าก็คือ
รูปของคณะกรรมการพหุภาคีที่ต้องประกอบด้วยฝ่ายราชการ
ชาวบ้าน นักวิชาการ
จากสถาบัน
การศึกษาที่จะเข้ามาร่วมตรวจสอบและศึกษาผลกระทบจากการสร้างเขื่อน
และการทำงานของคณะกรรมการชุดที่จะนำเสนอนี้จะต้องไม่ผูกโยงกับการเมืองอย่างที่ผ่านมา
มีข้าราชการเป็น ตัวหลัก
โดยอาจจะเป็นปลัดกระทรวงเพื่อให้ผลการทำงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องถาวร
มีมติครม.รับรองว่าล้มไม่ได้
รัฐเป็นผู้จัดหางบประมาณการทำงาน
ถาม -
มองสภาพปัญหาการจัดการทรัพยากรของบ้านเราเป็นอย่างไร
อ.บัณฑร -
ผมมองว่าจากนี้ไปเรื่องการจัดการทรัพยากร
จะปล่อยให้รัฐหรือธุรกิจเป็นคนจัดการฝ่ายเดียวไม่ได้
ชาวบ้าน
หรือแม้แต่เอ็นจีโอจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในรูปของประชาสังคม
รวมทั้งเขื่อนที่จะสร้างต่อไปหรือแม้กระ
ทั่งเขื่อนที่สร้างขึ้นมาแล้วก็ตาม
กรณีปากมูลชัดเจนว่ากฟผ.แสดงความเป็นเจ้าของ
ด้วยความคิดที่ว่า
ประชาชนไม่เกี่ยว
แต่อยากถามว่าแล้วเงินที่นำมา
สร้างตรงนั้นเป็นของใคร
ก็ประชาชน
แต่ชาวบ้านกลับอยู่ตรงนั้นไม่ได้
นอกจากนี้กรณีของเขื่อนราษีไศล
ที่เดิมระบุว่า
จะสร้างเป็นเขื่อนยางลอยน้ำ
แต่ที่สุดก็เปลี่ยนแบบเป็นคอนกรีต
และ ยังมีความสูงกว่าเดิม
ด้วยข้ออ้างว่า คุ้มทุน
แต่ชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้นไม่ได้รับทราบเรื่องเลย
ทั้งๆ
ที่พวกเขาเป็นผู้ได้รับ
ผลกระทบ
และจุดมุ่งหมายหนึ่งที่อ้างว่าต้องการสร้างเขื่อนเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำเค็มหากมีปริมาณน้ำเยอะมาผลักดัน
แต่มันก็ไม่
เป็นไปตามวัตถุประสงค์เพราะคิดแค่เชิงเดียว
ประธานคณะกรรมการกลาง
กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า "เราเชื่อมั่นเรื่องการที่จะเอาชนะธรรมชาติ
โดยไม่นึกถึงการก้าวไปกับ
ธรรมชาติ
ทำให้ที่ผ่านมาเราจึงมีปัญหาการจัดการเรื่องนี้"
"โดยเฉพาะปัญหาเขื่อน"
|