เขื่อนปากชม รัฐบาลอย่าพลาดซ้ำสอง
ไทยโพสต์ 10 สิงหาคม 2551
มนตรี จันทวงศ์ โครงการฟื้นฟูนิเวศวิทยาในอินโดจีนและพม่า
ขณะที่ข่าวความร่วมมือของรัฐบาลไทยและลาว ในการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างเขื่อนบ้านกุ่มกั้นแม่น้ำโขง ที่อำเภอโขงเจียม จ.อุบลราชธานี นั้น เริ่มถูกจับตาจากสังคม และประเด็นร้อนแรงที่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดกันมากคือ "การสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขง" จะส่งผลอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงเขตแดนของประเทศไทยและลาว ในขณะที่ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการปักปันเขตแดน ซึ่งรัฐบาลไทยและกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.)-หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการยังปิดสนิท ซ้ำร้ายไปกว่านั้น พพ.ยังออกมาเร่งผลักดันให้รัฐบาลรีบตัดสินใจเดินหน้าโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงร่วมกับประเทศลาว ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า "ถ้าเราไม่ทำ เวียดนามจะเข้ามาทำแทน ซึ่งทำให้เราอดใช้ไฟฟ้าราคาถูก"
แต่ประเด็นที่สังคมต้องตั้งคำถามและติดตามตรวจสอบคือ ข้อมูลการศึกษาโครงการเขื่อนบนแม่น้ำโขงของหน่วยงานรัฐมีความโปร่งใสมากน้อยเพียงใด เปิดเผยต่อสาธารณะและผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญโครงการมีความจำเป็นคุ้มค่าและผลิตไฟฟ้าได้ราคาถูกจริงหรือ และต้นทุนเหล่านี้ได้รวมผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม เข้าไปด้วยแล้วหรือ?
นอกจากเขื่อนบ้านกุ่มที่รัฐบาลกำลังผลักดันอย่างหนัก "เขื่อนปากชม" ที่อำเภอปากชม จังหวัดเลย ก็เป็นเขื่อนกั้นน้ำโขงอีกแห่งที่กำลังเข้าคิวรออยู่ ทั้งนี้ทาง พพ.เคยว่าจ้างบริษัท ปัญญา คอนซัลแตนท์ จำกัด และบริษัท มหานคร คอนซัลแตนท์ ของไทย ให้ศึกษาศักยภาพการก่อสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำแบบขั้นบันไดในแม่น้ำโขงในปี 2548 ซึ่งต่อมาในปี 2550 ก็ได้ว่าจ้างบริษัท ปัญญา คอนซัลแตนท์ จำกัด และบริษัท แมคโคร คอนซัลแตนท์ ให้ "ศึกษาจัดทำรายงานก่อนรายงานความเหมาะสมและรายงานสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น" ของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำฝายขั้นบันไดแม่น้ำโขง 2 แห่ง บริเวณชายแดนไทย-ลาว และได้ลงความเห็นว่าเขื่อนปากชม (ใกล้กับเขื่อนผามองในแผนดั้งเดิม) และเขื่อนบ้านกุ่ม มีความเหมาะสมด้านวิศวกรรม สังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ โดยระบุว่าเป็นเขื่อนแบบ run-of-river ที่ส่งผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมน้อย แต่มีความคุ้มค่าในการลงทุนสูง และเรียกชื่อโครงการว่า โครงการไฟฟ้าพลังน้ำฝายปากชม และโครงการไฟฟ้าพลังน้ำฝายบ้านกุ่ม
ข้อมูลจากการศึกษาเบื้องต้นของ พพ.ระบุว่า เขื่อนปากชมจะตั้งอยู่บนแม่น้ำโขงบริเวณพรมแดนไทย-ลาว ระหว่างบ้านห้วยขอบและบ้านคกเว้า ตำบลหาดคัมภีร์ อำเภอปากชม จังหวัดเลย และบ้านห้วยหาง เมืองสังทอง แขวงนครเวียงจันทน์ ประเทศลาว เขื่อนจะเก็บกักน้ำที่ระดับ 192 เมตร รทก. ซึ่งจะทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำมีความจุประมาณ 807.77 ล้านลูกบาศก์เมตร และเกิดพื้นที่อ่างเก็บน้ำซึ่งท่วมทั้งฝั่งไทยและลาวจำนวน 50,217 ไร่ โครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนถึง 69,641 ล้านบาท ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 01,079 เมกะวัตต์ แต่มีกำลังการผลิตพึ่งได้เพียง 210.14 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 20% ของกำลังผลิตติดตั้งเท่านั้น
ผลกระทบของเขื่อนปากชมที่สำคัญคือ ชุมชนริมน้ำโขงในเขตอำเภอปากชม และอำเภอเชียงคาน จะต้องสูญเสียพื้นที่ตลิ่งริมน้ำ เกาะแก่ง และดอนกลางแม่น้ำโขงที่ใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกพืชต่างๆ ในฤดูแล้ง เช่น พริก มะเขือ ถั่วลิสง มันเทศ ข่า ตะไคร้ กล้วย ซึ่งสร้างรายได้หลักให้กับครอบครัว อีกทั้งยังต้องสูญเสียอาชีพประมงเป็นการถาวรเช่นกัน นอกจากนี้ อ่างเก็บน้ำของเขื่อนจะท่วมบ้านคกเว้า 70 ครัวเรือน รวมถึงโรงเรียนบ้านคกเว้า และวัดโนนสว่างอารมย์ และท่วมบ้านห้วยหางอีก 37 ครัวเรือน รวมถึงท่วมพื้นที่ทำกินและชุมชนในฝั่งประเทศลาวด้วย
ในขณะที่ผลกระทบบริเวณใต้เขื่อนลงไปต่อเนื่องถึงจังหวัดหนองคาย ชุมชนริมน้ำโขงจะต้องเผชิญกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงของระดับน้ำโขงตลอดเวลา ซึ่งจะสร้างปัญหาต่อการประมงและการปลูกพืชริมตลิ่งเช่นกัน นอกจากนี้ ตลอดแนวแม่น้ำโขงจากที่ตั้งเขื่อนปากชมลงมาจนถึงจังหวัดหนองคาย ต่างมีจุดชมบั้งไฟพญานาคแทบทุกหมู่บ้าน ยังไม่มีใครบอกได้ว่า หากสร้างเขื่อนปากชมแล้ว จะเกิดบั้งไฟพญานาคได้อีกต่อไปหรือไม่
สำหรับผลกระทบทางนิเวศวิทยาที่สำคัญที่สุดคือ เขื่อนจะปิดกั้นการอพยพของปลาในแม่น้ำโขง และจะส่งผลโดยตรงต่อความอุดมสมบูรณ์ของพันธุ์ปลาในลุ่มแม่น้ำโขง การสร้างบันไดปลาโจนในลักษณะเดียวกันกับเขื่อนปากมูล ก็มิอาจแก้ปัญหาได้ ทั้งนี้ รายงานวิจัยที่ตีพิมพ์โดยคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงเมื่อปี 2547 ยังได้เคยระบุถึงโครงการเขื่อนต่างๆ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการชลประทาน ผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ และควบคุมน้ำท่วมไว้ว่า "เป็นการคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อปลาและการประมงในแม่น้ำโขง"
ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่ควรเร่งรีบรวบรัดผลักดันโครงการโดยละเลยการดำเนินการต่างๆ ที่พึงทำตามกรอบกฎหมายที่ระบุไว้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติปี 2535 อีกทั้งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 67 ยังได้ระบุให้ต้องมีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้ก่อนดำเนินการด้วย |