eng homeabout usmekong riversalween rivermun riverthai baan researchpublication
 

“ลักไก่” สร้างเขื่อนสาละวินในพม่า??

อาทิตย์ ธาราคำ  เครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตีพิมพ์ในมติชนรายวัน ๒๒ มกราคม ๒๕๔๘



ชาวกะเหรี่ยงระหว่างหนีภัย
สงครามมายังประเทศไทย

 

เมื่อปลายปีที่ผ่านมา มีรายงานข่าวเล็ดลอดออกมาว่ากฟผ. ได้ลงนามกับการไฟฟ้าพม่า ในการร่วมทุนสร้างเขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน โดยระบุว่าเป็นการลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) แต่รายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๐ มกราคมที่ผ่านมา กลับระบุว่าตอนนี้ไทยและพม่า “ หมั้นหมาย ” กันเรียบร้อยแล้ว โดยการไฟฟ้าของทั้งสองประเทศ ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง หรือ Memorandum of Agreement- เอ็มโอเอ ที่มีข้อผูกมัดมากกว่าเอ็มโอยู

การลงนามครั้งนี้นำมาซึ่งคำถามมากมายที่ กฟผ. ควรต้องให้คำตอบที่กระจ่างชัดแก่สังคมไทย

ข้อมูลของกฟผ. ระบุว่าการร่วมทุนพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำระหว่างไทย-พม่า เป็นโครงการชุดใหญ่ ประกอบด้วย ๕ เขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน และอีก ๑ เขื่อนบนแม่น้ำตะนาวศรี ซึ่งเขื่อนทั้งหมดนี้อยู่ในพม่าแถบตะวันตกซึ่งเป็นเขตของชนกลุ่มน้อยนับตั้งแต่รัฐฉาน ไล่เรื่อยลงมาจนถึงรัฐมอญ และภาคตะนาวศรี เพื่อผลิตไฟฟ้าขายให้กับไทย โดยคาดว่าทุนจะมาจากจีน

หลายปีที่ผ่านมา เขื่อนในพม่าที่ได้รับการผลักดันจากนักสร้างเขื่อนไทย มีทั้งหมด ๓ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนท่าซาง บนแม่น้ำสาละวินใจกลางรัฐฉาน และเขื่อนสาละวินชายแดน ๒ เขื่อน คือ เว่ยจี และดา-กวิน บนพรมแดนรัฐกะเหรี่ยง และ จ. แม่ฮ่องสอน

ที่ผ่านมาทั้งสามโครงการนี้ ได้ถูกตั้งคำถามด้านปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า โดยเฉพาะเขื่อนท่าซาง ที่มีรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งการข่มขืนสตรีกลุ่มชาติพันธุ์และการอพยพชาวบ้านกว่า ๓๐๐,๐๐๐ คน ออกจากพื้นที่ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของกองทัพพม่าในพื้นที่ดังกล่าว

จ๋ามตอง สตรีนักสิทธิมนุษยชนชาวไทยใหญ่ แสดงความคิดเห็นว่า “ เขื่อนสาละวิน จะเป็นอาวุธสงครามที่กองทัพพม่าใช้เพื่อกวาดล้างชนกลุ่มน้อย

ในกรณีเขื่อนบนชายแดน ซึ่งพื้นที่น้ำท่วมส่วนใหญ่จะอยู่บนรัฐกะเหรี่ยงและรัฐคะยา

ห์ ซึ่งก็เผชิญปัญหาไม่ต่างกัน ดังที่ ลอแอะ โรแลน นักสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยง ระบุว่า “ ตั้งแต่มีโครงการเขื่อน กองกำลังทหารพม่าในรัฐกะเหรี่ยงเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว กวาดต้อนชาวบ้านออกไป และเมื่อสร้างเขื่อนจริงๆ ก็จะบอกใครๆ ว่าพื้นที่นี้ไม่มีใครอาศัยอยู่ ”

ด้วยเหตุนี้ เมื่อกฟผ. สร้างความตกตะลึงด้วยการลงนามเอ็มโอเอสร้างเขื่อนฮัตจี บนลำน้ำสาละวินในเขตรัฐกะเหรี่ยง ห่างจากจุดบรรจบแม่น้ำเมยและแม่น้ำสาละวินที่ บ้านสบเมย อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ลงไปตามน้ำประมาณ ๓๓ กิโลเมตร โดยระบุว่าจะเริ่มสร้างปลายปี ๒๕๕๐ ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ว่าผลกระทบจากเขื่อนฮัตจี จะรุนแรงขนาดไหน โดยเฉพาะในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งบริเวณดังกล่าวต่อเนื่องกับเขตชายแดน ที่ยังคงมีการสู้รบระหว่างกองกำลังกู้ชาติและทหารพม่าอย่างรุนแรง รวมทั้งเป็นพื้นที่ซึ่งถูกกองทัพพม่าเข้ากวาดล้างมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๘ ทำให้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยปัจจุบันมีผู้ลี้ภัยจากรัฐกะเหรี่ยงลงทะเบียนอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยตามชายแดนสูงถึง ๑๒๐,๐๐๐ คน

การสร้างเขื่อนซึ่งก่อให้เกิดน้ำท่วม จึงหมายความว่าบ้านเรือนของประชาชนจากพม่า จะต้องจมอยู่ใต้น้ำ และเท่ากับเป็นการตัดโอกาสไม่ให้ผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย มิให้ได้กลับไปทำมาหากินบนผืนแผ่นดินของตนเองอีกเลย จึงหมายความว่าปัญหาผู้ลี้ภัยจากพม่าในประเทศไทยจะขยายตัวรุนแรงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อพิจารณารายละเอียดโครงการจากรายงานการศึกษาของโครงการเขื่อนฮัตจีฉบับปี ๒๕๔๑ ซึ่งว่าจ้างโดยการไฟฟ้าพม่า ระบุว่าเขื่อนแห่งนี้มีกำลังผลิต ๓๐๐ เมกกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะทำให้น้ำท่วมไม่เพียงเฉพาะในรัฐกะเหรี่ยงเท่านั้น แต่จะเอ่อตามลำน้ำขึ้นมาถึงเขตชายแดนไทย-พม่า ที่ จ.แม่ฮ่องสอน เท่ากับว่าประชาชนไทยที่อาศัยแถบชายแดน ก็จะได้รับความเดือดร้อนเช่นเดียวกัน

ยิ่งในวันนี้ที่กฟผ.ระบุว่าเขื่อนแห่งนี้จะผลิตไฟฟ้าได้ถึง ๒,๐๐๐ เมกกะวัตต์ มิใช่ ๓๐๐ เมกกะวัตต์แล้วนั้น เป็นไปได้หรือว่าขนาดเขื่อนและพื้นที่น้ำท่วมจะไม่ใหญ่ไปกว่าเดิม ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อระบบนิเวศ และชาวบ้านตาดำๆ จะเกิดมากขึ้นอีกมหาศาลเพียงใด ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่มีการเปิดเผยจากเจ้าของโครงการ

นอกจากนี้ ผลกระทบอื่นๆ ทั้งเรื่องระบบนิเวศในลุ่มน้ำ เงินทุนในการสร้างเขื่อน การคอรัปชั่น เป็นสิ่งที่คนไทยควรตั้งคำถามกับกฟผ. โดยเฉพาะคำถามว่า ทำไมต้องเร่งรัดดำเนินโครงการ

สิ่งที่กฟผ. ต้องกระทำก่อนดำเนินโครงการไปไกลกว่านี้ คือ เปิดเผยแก่สังคมไทย คือ ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการและผลกระทบที่จะมีต่อประชาชนในฝั่งไทยและพม่า โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการที่ผ่านมา รายงานการศึกษาผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ข้อตกลงด้านการร่วมทุนทั้งหมด เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ

เพราะไม่เช่นนั้น คนไทยจะกลายเป็นผู้มีส่วนสร้างความทุกข์ยากแก่ประชาชนบนผืนแผ่นดินพม่า เพื่อนบ้านของเรา

การรีบเร่งอย่างผิดปรกติของกฟผ. ทำให้อดไม่ได้ว่า เหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง คือสิ่งที่อดีตผู้ว่ากฟผ. เคยกล่าวไว้หรือไม่ว่า การสร้างเขื่อนสาละวินในพม่าไม่มีปัญหาเรื่องคนจะออกมาประท้วงแน่ๆ เพราะประเทศพม่ายังไม่มีประเทศไทย ไม่มีเสรีภาพเหมือนประเทศไทย

ถ้าเป็นเพราะเหตุผลนี้จริง บรรดานักสร้างเขื่อนทั้งหลายคงไม่อยากเห็นพม่าเป็นประชาธิปไตย

 
 

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต   138/1 หมู่ 4 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่   50200
Living River Siam Association  138 Moo 4, Suthep, Muang, Chiang Mai, 50200   Thailand
Tel. & Fax.: (66)-       E-mail : admin@livingriversiam.org

ข้อมูลในเวปนี้สามารถนำไปเผยแพร่ได้โดยอ้างอิงแหล่งที่มา