eng homeabout usmekong riversalween rivermun riverthai baan researchpublication
 

บันทึกคนเดินทาง : เก็บแผ่นดินที่สิ้นชาติ : ความฝันของชาวกะเหรี่ยงบนฟากฝั่งสาละวิน
เรื่อง/ภาพ อาทิตย์ ธาราคำ

ปลายฤดูหนาว 2549

กว่าสัปดาห์แล้วที่ฉันเดินเท้าไปตามหมู่บ้านในรัฐกะเหรี่ยงเพื่อเก็บข้อมูลผู้พลัดถิ่น ภายในประเทศ หรือ ไอดีพี (IDPs -Internally Displaced Persons)  ในเขตลุ่มน้ำสาละวินร่วมกับกลุ่มสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนกะเหรี่ยง ในแต่ละวัน ในทุกหมู่บ้านที่เราเข้าไปเรื่องราวเดิม ๆ ของชาวบ้านถูกเล่าออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทหารพม่าเข้ามาคุกคาม รีดนาทาเร้น เกณฑ์แรงงานทาส เก็บส่วยและผลผลิต  และเลวร้ายที่สุดคือเมื่อกองทัพพม่าบุกเข้ามาในหมู่บ้าน เผาทำลายทุกสิ่ง ทุกคนทั้งเด็ก หนุ่ม และแก่  ต่างต้องหลบหนีเอาชีวิตรอดไปหลบซ่อนอยู่ในป่าเพื่อรอที่จะกลับมายังหมู่บ้านเดิม

วันที่แปดของการเดินทาง ที่หมู่บ้านบนยอดเขา ชาวบ้าน เล่าว่าสองสัปดาห์ที่ผ่านมามี ชาวบ้านกลุ่มใหญ่อพยพหนีกันลงมาจากทางตอนเหนือแล้วหลายร้อยคน  และเมื่อคืนมีชาวบ้านชุดใหม่ประมาณ 90 คน  พักนอนที่หมู่บ้านก่อนออกเดินเท้ามุ่งหน้าไปยังที่ปลอดภัยริมน้ำสาละวินเมื่อเช้านี้เอง

เย็นนั้นเราตัดสินใจไม่นอนค้างที่หมู่บ้าน มุ่งหน้าเดินข้าม ภูเขาตามขบวนผู้พลัดถิ่นไป "ที่ปลอดภัย" ใกล้แม่น้ำสาละวินรีบร้อนเดินทางมาถึงที่หมายเอาก็ค่ำมืด แต่ฉันก็ต้องผิดหวังเพราะการเป็นคนนอกที่จะเข้าไปถ่ายภาพและสัมภาษณ์ผู้พลัดถิ่นที่ตั้งค่ายพักพิงชั่วคราวอยู่ไม่ใช่เรื่องง่าย  เพื่อนๆ ต้องเข้าชี้แจงแก่กรรมการดูแลผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยงถึงวัตถุประสงค์ของการเข้าไปในพื้นที่  เนื่องจากกรรมการฯ เกรงว่าข้อมูลที่เผยแพร่ออกไปจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของผู้พลัดถิ่น  

หลังจากรออยู่ 1 วัน 1 คืน โพซอ เพื่อนชาวกะเหรี่ยงก็วิ่งมาแจ้งข่าวดี ฉันได้รับอนุญาตแล้ว "ที่ปลอดภัย" ภายใต้การดูแลของกองกำลังกะเหรี่ยงกู้ชาติแห่งนี้คือป่าละเมาะบนที่ราบแคบๆ ริมลำห้วยสาขาของแม่น้ำสาละวิน เป็นที่พักพิงของชาวกะเหรี่ยงกว่า 300 คน จากเขตจังหวัดตองอู ทางตอนเหนือของรัฐกะเหรี่ยง

ซอ-กวอ ผู้ดูแลศูนย์พักพิงเล่าว่านี่เป็นเพียงผู้พลัดถิ่นกลุ่มแรก ๆ ที่เดินทางมาถึงริมน้ำสาละวิน ซึ่งขณะนี้มีชาวบ้านอีกอย่างน้อย 5,000 คน กำลังเดินทางตามมายังที่ปลอดภัยแห่งนี้หลังจากกองทัพพม่ากวาดล้างพื้นที่กว่า 16 หมู่บ้าน
ใน 2 จังหวัดทางตอนเหนือ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ราวเดือนกุมภาพันธ์  ปี 2549 เป็นต้นมา

คนทุกข์กว่า 50 ครอบครัวเพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อสองวันก่อนหลังจากเดินเท้ากันเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนเต็ม ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด หน่วยงานบรรเทาทุกข์ของกองกำลังกะเหรี่ยงกู้ชาติทำได้เพียงแจกจ่ายผ้าใบสีฟ้าและมุ้งให้ครอบครัวละ 1 ชุด มีข้าวสาร และอาหารจำเป็น ได้แก่ ถั่ว ปลาร้า พริก และเกลือ

สัมภาระติดตัวของชาวบ้านที่บรรจุในตะกร้ามีเพียงหม้อ เสื้อผ้าเก่าเพียงปกปิดร่างกาย มีด และอุปกรณ์ยังชีพเพียงไม่กี่ชิ้นเท่าที่หอบหิ้วกันมาได้ ส่วนบ้าน ไร่นา และสัตว์เลี้ยงางๆ เช่น วัว ควาย หมู ไก่ จำเป็นต้องทิ้งไว้เบื้องหลัง  เด็กเล็กซึ่งมีราวครึ่งหนึ่งของจำนวนชาวบ้านทั้งหมด อ่อนเพลียและหลายคนไม่สบาย เนื่องจากการระหกระเหินจากบ้านมาไกลภายใต้อากาศร้อนอบอ้าวของลุ่มน้ำสาละวินตอนล่าง ซึ่งชาวบ้านเหล่านี้คุ้นเคยกับอากาศเย็นตลอดปีที่บ้านบนภูเขาสูง

ยังนับว่าโชคดีที่มีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ที่ฝึกโดยแม่ตาวคลินิกของหมอซินเทีย  แพทย์หญิงชาวกะเหรี่ยงมาให้บริการรักษาโรคพื้นฐานแก่ชาวบ้าน ในเพิงด้านหน้าของศูนย์พักพิงคือ "คลินิก" ที่มีหมอ 3 คน ตรวจอาการและจ่ายยาตามที่มี
ภายใต้ไอแดดร้อนระอุในเพิงพักชั่วคราว เด็กน้อยอายุ 20 วันหลับอยู่ในอ้อมอกของแม่ซึ่งมีสีหน้าเพลียมาก เด็กน้อยคนนี้ถือกำเนิดระหว่างการเดินทาง  นั่นหมายความว่าแม่ต้องเดินเท้าขณะที่อุ้มท้องแก่ และออกเดินทางต่อทันทีไม่กี่วันหลังจากคลอดเสร็จ

"ผมต้องอุ้มลูกที่ป่วยอีก 2 คนแบกไว้ในตะกร้า เพื่อนบ้าน ก็ช่วยกันถือของ เดินทางตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจนมืดค่ำแต่ตอนที่จะข้ามถนนต้องรอกันเกือบ 1 อาทิตย์ รอจนทหารพม่า  ไปแล้วจริงๆ ถึงจะข้ามมาได้" ผู้เป็นพ่อเล่า

ถนนสายนี้คือถนนเชื่อมระหว่างเมืองเจ้าจี้ และฐานทหาร พม่าที่จอท่า ริมแม่น้ำสาละวินทางตอนเหนือของรัฐกะเหรี่ยงซึ่งเป็นถนนสายหลักที่กองทัพพม่าใช้ขนส่งเสบียงและยุทโธปกรณ์  โดยมีกองกำลังอยู่เป็นจุด ๆ  และกับระเบิดอีกจำนวนมหาศาลที่วางไว้ตลอดแนวถนนเพื่อป้องกันไม่ให้กองกำลังกู้ชาติชนกลุ่มน้อยเข้ามาโจมตี   ถนนมรณะสายนี้เองที่ตัดรัฐกะเหรี่ยงออกเป็น 2 ส่วน การเดินทางของทั้งชาวบ้านและกองกำลังกะเหรี่ยงกู้ชาติเป็นไปได้อย่างสาหัสยิ่ง 
 
"เราข้ามถนนกันตอนกลางคืน หนูกลัวมาก กลัวทหารพม่ามายิง แล้วก็กลัวเหยียบกับระเบิด แต่ก็ต้องเดินตามพ่อแม่ไป" ผู้พลัดถิ่นรุ่นเยาว์เล่า

กญอ-พอ เด็กหญิงวัย 11 ปีต้องจากบ้านและโรงเรียนมาเพราะทหารพม่าเข้ามาโจมตีหมู่บ้านเพียง 1 สัปดาห์หลังจากโรงเรียนปิดภาคฤดูร้อน เด็กหญิงสอบได้ที่ 1 มาตลอดและกำลัง จะขึ้นชั้นประถม 4 โตขึ้นเธออยากเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ แต่วันที่จะได้คืนสู่ห้องเรียนดูมืดมนสำหรับเธอ

"หนูอยากกลับไปเรียนหนังสือไหมเอ่ย" ฉันถาม

"เหม่เหม-อยากสิคะ หนูเดินมาหนูก็คิดถึงบ้าน คิดถึงโรงเรียน อยากกลับบ้าน แต่พม่าเข้ามาเราก็ต้องหนี" 
เด็กน้อยยังเยาว์เกินกว่าจะเข้าใจสถานการณ์ความขัดแย้ง ทางการเมืองในประเทศของตนเอง พ่อของเธอบอกว่าถ้ากลับบ้านได้ก็จะพากันกลับทันทีที่สถานการณ์คลี่คลาย "อยู่บ้านเรามีความสุข แต่แผ่นดินไม่สงบเราก็ต้องหนี
กันแบบนี้ตลอด"

******

เมฆฝนทะมึนที่ปกคลุมทั้งหุบเขาตั้งแต่เย็นเริ่มสาดสายฝน แรกของปีลงมาในคืนนี้พร้อมกับสายลมกรรโชกแรง ผู้พลัดถิ่นคืนนี้จะเป็นอย่างไร ผ้าพลาสติกผืนแคบๆ คงไม่สามารถป้องกันอะไรได้ เด็กน้อยคงร้องไห้กันเสียงดังกว่าเมื่อตอนกลางวัน ใกล้รุ่งสางแล้วฝนยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุด หยาดน้ำ ที่ไหลลงมาจากใบหน้าของผู้เป็นพ่อที่กอดลูกน้อยไว้แนบอกใครจะบอกได้ว่ามันคือน้ำฝนหรือน้ำตา

12 สิงหาคม 2550

กว่า 1 ปีที่ผ่านมา ฉันยังได้แวะไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านที่นี่สม่ำเสมอ เพิงพักเล็กๆ ริมลำห้วยวันนี้ขยายเป็น "ค่ายผู้พลัดถิ่น" ขนาดเท่าๆ กับเมืองเล็กๆ ด้วยประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเป็น 3,800 คนแล้ว  และยังมีชาวบ้านทยอยเข้ามาไม่หยุด บ้านพัก โรงเรียน โรงพยาบาล ห้องประชุม ถูกสร้างขึ้น ด้วยไม้ไผ่ ไล่เรียงกันไปตามสองฝั่งลำห้วยยาวจนสุดสายตา  

"มาเที่ยวเหรอครับครู" ซอดาปู ชายวัยกลางคนทักทายมาจากสวนผักข้างทาง

ฉันพบกับซอดาปูเมื่อกลางปีก่อน ตอนนั้นชายพิการนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่มุมห้องของกระท่อมสำนักงานอยู่ทั้งวัน ขาเทียมที่เพิ่งได้รับก็วางอยู่ข้างๆ ตัว ฉันสงสัยว่าทำไมเขาจึงไม่ไปสร้างกระท่อมอยู่กับครอบครัวเหมือนคนอื่นๆ จึงเข้าไปคุยด้วย

"ครอบครัวผมยังมาไม่ถึง ผมเลยรออยู่ที่นี่ก่อน" ซอดาปูเล่าว่าเขาอยู่ในหมู่บ้านทางตอนเหนือแถบตองอู เขาต้องสูญเสีย ขาข้างหนึ่งขณะเดินไปไร่ในตอนเช้า ต้องกัดฟันข่มความเจ็บปวด  รอจนกระทั่งเย็นเมื่อชาวบ้านมาพบและพาไปรักษา จากนั้นไม่นานภรรยาของเขาก็ล้มป่วยและเสียชีวิต ทิ้งให้ลูกน้อย 4 คนอยู่กับพ่อผู้พิการ และเมื่อทหารพม่าบุกเข้ามา ซอดาปูและลูกๆ พร้อมทั้งชาวบ้านทั้งหมู่บ้านก็ไปซ่อนตัวในป่า เมื่อเวลาล่วงเลย ชาวบ้านส่วนหนึ่งตัดสินใจเดินทางมายังริมสาละวินที่ปลอดภัยกว่า

“ผมมีขาข้างเดียว อุ้มลูกเล็กพามาด้วยกันไม่ได้ ตากับยายก็เลยบอกให้ผมหนีมาก่อนแล้วเด็ก ๆ จะตามมา ลูกคนโตก็อาสาดูแลน้อง ๆ แทนผมเอง เขาบอกไม่ต้องเป็นห่วง    เดี๋ยวเด็ก ๆ ก็คงมาถึงกัน” ชายขาเดียวเล่าในวันนั้น 

ผ่านไปกว่าขวบปี วันนี้พ่อก็ยังไม่ได้พบหน้าลูก ๆ "เขายังหลบอยู่ในป่า ไม่ยอมหนีมาเพราะไม่อยากทิ้ง
หมู่บ้านไปไกล แค่ได้ยินข่าวจากชาวบ้านที่เพิ่งมาถึง บอกว่าลูก ๆ ยังปลอดภัยผมก็สบายใจได้บ้าง" ซอดาปูเล่าพลางมองเด็ก ๆ ที่เดินไปยังโรงเรียน

วันนี้อาคารโรงเรียนไม้ไผ่แน่ขนัดไปด้วยเด็ก ๆ นักเรียนตั้งแต่ชั้นเล็กไปจนมัธยมปลาย รวมถึงพ่อแม่ที่ต่างมารวมกันในวันพิเศษ งานรำลึกถึง “ซอบาอูจี"  วีรชนของชาวกะเหรี่ยงที่จากไปในวันนี้ 12 สิงหาคมเมื่อ 57 ปีก่อน

"ซอบาอูจีและวีรชนทุกคนที่ล่วงลับไปได้ต่อสู้เพื่อกอบกู้แผ่นดินของเรา  บรรพบุรุษของเราได้ทำเต็มที่แล้ว  แม้วันนี้เรายังไม่ได้รับเสรีภาพบนแผ่นดินของเราเอง แต่พวกเราที่ยังอยู่ก็ต้องสานต่อ ภารกิจนี้ต่อไป" ผู้นำทหารกล่าวเสียงหนักแน่นอยู่บนเวที

"เยาวชนคือความหวัง เด็กๆ ทุกคนต้องเรียนหนังสือ หาความรู้ และเติบโตขึ้นเพื่อเป็นกำลังของแผ่นดิน"
ด้านล่างของเวที ผู้ฟังตัวน้อยที่แต่งชุดกะเหรี่ยงสีสดใสต่างตั้งใจฟังอย่างมีสมาธิ ผ่านไปกว่าชั่วโมง เด็กเล็กๆ ก็ยังไม่ลุกไปเล่นที่ไหน เด็กชั้นโตๆ ก็จดบันทึกสิ่งที่ได้ยินไว้ในสมุด

ที่แถวหน้าสุด เด็กหญิงกญอ-พอยิ้มแป้นกวักมือเรียกฉันเข้าไปหา

"หนูได้เรียนหนังสือแล้วนะคะ ได้เรียนภาษาอังกฤษด้วย" เด็กหญิงกระซิบ บอกว่าจะตั้งใจเรียนแล้วจะได้กลับไปเป็นครูที่หมู่บ้าน

ครูสาวผู้จัดงานวันนี้บอกว่า อยากให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาติ และสำนึกในความเป็นแผ่นดินเดียวกัน แม้จะถูกรุกรานจนต้องหนีมาอยู่ที่สุดขอบของแผ่นดินที่นี่ 

เสียงกีตาร์และเพลงที่นักเรียนชั้นต่าง ๆ ทยอยขึ้นมาร้องบนเวทีขับกล่อมทั้งหุบเขา วันพิเศษเล็ก ๆ วันนี้ทำให้คนทุกข์ที่นี่มีกำลังใจหยัดยืนต่อไป ด้วยหวังว่าวันหนึ่งชาติและแผ่นดิน จะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง

ฉันข้ามเรือกลับมาสู่แผ่นดินไทยด้วยหัวใจพองโต ศรัทธาในหัวใจของคนบนแผ่นดินอีกฝั่งน้ำสาละวิน แม้ในวันที่หลังชนฝาไม่มีที่จะไปอีกแล้ว แต่ชาวกะเหรี่ยงที่นี่ก็ยังสานต่อความหวังที่จะกอบกู้สันติภาพกลับมา อาจเป็นเพราะคำคนเฒ่าคนแก่ชาวกะเหรี่ยงที่สอนกันว่า

"กว่าหมื่อลอหนึห่อเต่อเก เตอสิบ่าลาเกอถ่อเก
ตะวันตกดินไม่ต้องเสียใจ อีกไม่นานพระจันทร์ก็ขึ้น"

 
 

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต   138/1 หมู่ 4 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่   50200
Living River Siam Association  138 Moo 4, Suthep, Muang, Chiang Mai, 50200   Thailand
Tel. & Fax.: (66)-       E-mail : admin@livingriversiam.org

ข้อมูลในเวปนี้สามารถนำไปเผยแพร่ได้โดยอ้างอิงแหล่งที่มา