eng homeabout usmekong riversalween rivermun riverthai baan researchpublication
 

ชาวบ้าน/ภาคประชาสังคมรวมตัวหน้าทำเนียบยื่นหนังสือนายก
ถึงเวลารัฐบาลต้องสั่งกฟผ. ระงับเขื่อนฮัตจี!

23 พฤศจิกายน 2552

กรุงเทพ - วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน นี้ ตั้งแต่เวลา 10.00น. เป็นต้นไป ชาวบ้าน ภาคประชาสังคม รวมทั้งกลุ่มเยาวชน นักศึกษา นัดรวมตัวกันหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือลงนามโดย 189 องค์กรต่อนายกรัฐมนตรี และแถลงข่าวกรณีขอให้ระงับการสร้างเขื่อนฮัตจี ที่มีแนวโน้มจะเป็นเขื่อนแรกที่มีการผลักดันให้สร้างบนลำน้ำสาละวิน ลำน้ำสายอิสระสายสุดท้ายของเอเชียอาคเนย์ ที่จะทำให้ปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่าร้ายแรงยิ่งขึ้น อีกทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตทั้งฝั่งไทยและพม่า ภาคประชาชนสงสัยกฟผ. ตัวแสบต้นตอผลักดันรัฐบาล ทั้งที่หมกเม็ดข้อมูล และเมินข้อเสนอคณะกรรมการสิทธิฯ ที่ให้รัฐบาลสั่งระงับสร้าง หวั่นรัฐบาลมีแนวโน้มตกลงสร้าง ส่อลางร่วมกันเมินชาวบ้าน หลังจากนายกรัฐมนตรีมอบต่อให้รัฐมนตรีพลังงานมารับจดหมายแทน แต่รัฐมนตรีกลับส่งต่อให้ผู้ว่ากฟผ.  

เขื่อนฮัตจีขนาด 1,360 เมกะวัตต์ เสนอสร้างบนแม่น้ำสาละวินในเขตรัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ห่างชายแดนไทยเพียง 47 กิโลเมตร โดยบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในเครือ กฟผ. ร่วมทุนกับบริษัท ชิโนไฮโดร คอร์ปอเรชั่น จำกัด ยักษ์ใหญ่ของจีน และกรมไฟฟ้าพลังน้ำ กระทรวงพลังงานไฟฟ้า สหภาพพม่า ทั้งนี้เพื่อผลิตไฟฟ้าขายให้ไทย

โครงการเขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน เป็นเป้าหมายการรณรงค์ของกลุ่มภาคประชาสังคมทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 2549 ทั้งมีการชุมนุมหน้าสถานทูตพม่าในหลายประเทศ โดยมีคนหลายพันคน ลงนามในหนังสือเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีของไทยมาโดยตลอด และตั้งแต่เดือนเมษายน 2552 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เสนอให้รัฐบาลพิจารณาสั่งการให้ กฟผ. ระงับการก่อสร้างเขื่อนฮัตจี ด้วยเหตุผลว่า “การสร้างเขื่อนฮัตจี เป็นการส่งเสริมให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนชาวกะเหรี่ยงในพม่า และประเทศไทยต้องแบกรับภาระในการดูแลผู้อพยพ” ทั้งนี้ การปราบปรามชนกลุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่สร้างเขื่อนและสายส่งของทหารรัฐบาลพม่า ได้ทำให้เกิดการทะลักเข้ามายังประเทศไทยของผู้อพยพมากกว่า 3,500 คนแล้ว และน้ำจากลำน้ำสาละวินที่จะกลายเป็นอ่างเก็บน้ำของเขื่อน ยังจะท่วมล้ำเข้ามาในเขตอำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน กระทบรุนแรงต่อชุมชนฝั่งไทยเหนือเขื่อน เฉกเช่นเดียวกันกับในประเทศพม่า

ทั้งนี้ กฟผ. ไม่เคยเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนต่อทั้งประชาชนในพื้นที่ และสาธารณชนไทย แต่กลับดื้อแพ่งผลักดันโครงการอย่างเต็มที่ ล่าสุดเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ที่มัณฑะเลย์ รัฐมนตรีพลังงานของไทยยังหยิบยกประเด็นการสร้างเขื่อนฮัตจีกับท่าซางขึ้นมา บ่งให้เห็นแนวโน้มการสนับสนุนของรัฐบาลที่มีต่อกฟผ. อย่างชัดเจน

“การเข้าไปสร้างเขื่อนในพื้นที่สงครามในประเทศที่ไม่มีประชาธิปไตย ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิงกับข้ออ้างของกฟผ. ว่าฮัตจีจะให้ความมั่นคงด้านพลังงานกับไทย เรามีไฟฟ้าล้นเกินอยู่แล้ว การสร้างเขื่อนสาละวินจะเพิ่มปัญหามากมาย และยิ่งจะทำให้ทางเลือกด้านพลังงานยั่งยืนของไทยยิ่งตีบตัน” มนตรี จันทวงศ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือ และนักวิจัยของโครงการฟื้นฟูนิเวศในภูมิภาคแม่น้ำโขง (TERRA) ระบุ

 “ชาวบ้านไม่เคยรู้ข้อมูลเรื่องเขื่อนเลย เขาจะสร้างตรงไหน น้ำท่วมเท่าไหร่ ปลาจะหายไปหรือเปล่า คนที่จะสร้างเขื่อนไม่มาถาม ไม่มาบอก เวทีประชาคมให้ชาวบ้านแสดงความคิดเห็นก็ไม่มี เคยมาในเมือง เข้าในห้าง เห็นเขาสร้างตึกใหญ่ ๆ แล้วก็เปิดไฟเยอะ ๆ เปิดแอร์จนหนาว ในเมืองใช้ไฟกันเยอะแบบนี้ แล้วก็ต้องมาสร้างเขื่อนที่บ้านเรา” นายนุ ชำนาญคีรีไพร ชาวกะเหรี่ยง จากบ้านแม่ก๋อน หมู่บ้านริมน้ำสาละวิน จังหวัดแม่ฮ่องสอน พูดแทนความรู้สึกชาวบ้าน

จดหมายถึงนายกรัฐมนตรีระบุว่า กฟผ. กำลังผลักดันโครงการเขื่อนฮัตจีโดยขาดความโปร่งใส และมีแนวโน้มขัดรัฐธรรมนูญปี 2550 และการตัดสินใจสร้างโครงการเขื่อนฮัตจี จะทำให้ภาพพจน์ประเทศไทยกลายเป็นลบในสายตาประชาคมโลกที่เป็นประชาธิปไตยทันที

ทั้งนี้ ในเวลา 14.00น. กลุ่มภาคประชาสังคม จะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อดร.ศรีประภา เพชรมีศรี ในฐานะสมาชิกคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่โรงแรมรอยัลริเวอร์อีกด้วย ตามที่ภาคประชาสังคมพยายามผลักดันประเด็นเขื่อนสาละวินเข้าในกรอบการพิจารณาของอาเซียนมาตั้งแต่ในช่วง ของการประชุมมหกรรมภาคประชาชนในวันที่ 18-20 ตุลาคมที่ผ่านมา

 
 

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต   138/1 หมู่ 4 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่   50200
Living River Siam Association  138 Moo 4, Suthep, Muang, Chiang Mai, 50200   Thailand
Tel. & Fax.: (66)-       E-mail : admin@livingriversiam.org

ข้อมูลในเวปนี้สามารถนำไปเผยแพร่ได้โดยอ้างอิงแหล่งที่มา