บทเรียนจากทั่วโลกว่าด้วยการรื้อเขื่อน
เครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้-ประเทศไทย
สิงหาคม 2544
ปัจจุบัน นักรณรงค์สิ่งแวดล้อมทั้งในระดับรากหญ้าและระดับสากลในหลายประเทศกำลังเรียกร้องให้มีการ รื้อเขื่อน หรือไม่ก็ ยกเลิกการใช้เขื่อน เพื่อฟื้นฟูแม่น้ำและคืนสิทธิให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน โดยเฉพาะเขื่อนที่ก่อ ให้เกิดผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม และเขื่อนที่ล้มเหลวทางด้านเศรษฐกิจ
ต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ที่แสดงให้เห็นถึง กระแสการรื้อเขื่อนและการยกเลิกการใช้เขื่อนทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและ ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ทั้งในอเมริกา ยุโรป ลาตินอเมริกา รวมทั้งประเทศไทยของเรา
การรื้อเขื่อนในประเทศพัฒนาแล้ว
ประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศโลกที่หนึ่งนับว่าเป็นต้นกำเนิดของแนวคิดการสร้างเขื่อนในศตวรรษที่ 19 ประเทศเหล่านี้ได้เร่งสร้างเขื่อนขึ้นมาเป็นจำนวนมากอันเนื่องมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ก่อนที่จะหันไปสร้างเขื่อนในประเทศโลกที่สาม จนทำให้หลายประเทศในกลุ่มนี้กลายเป็นฐานของบรรดาบรรษัทอุตสาหกรรมเขื่อนที่ประกอบธุรกิจการสร้างเขื่อนทั่วโลก แต่ปัจจุบันประเทศเหล่านี้หลายประเทศกำลังรื้อเขื่อนทิ้งทั้งในสหรัฐฯ แคนาดา และประเทศในยุโรป
บทเรียนจากสหรัฐอเมริกา: ยุคสมัยของการรื้อเขื่อนได้เริ่มขึ้นแล้ว
นับแต่สหรัฐฯ ได้สร้างเขื่อนฮูเวอร์แล้วเสร็จในปี 1933 จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่สหรัฐฯ ได้สร้างเขื่อนขึ้นมาจำนวนมาก จนช่วงนี้ได้ชื่อว่าเป็น ยุคทองของการสร้างเขื่อน และเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง สหรัฐฯ ก็ได้มีอิทธิพลในการสร้างเขื่อนทั่วโลกมากที่สุดรวมทั้งในประเทศไทย แต่ปัจจุบัน สหรัฐฯ กลับเป็นดินแดนที่มีการรื้อเขื่อนและยกเลิกการใช้เขื่อนมากที่สุดในโลก ดังปรากฏว่าในช่วง 75 ปีที่ผ่านมา มีเขื่อนนับร้อยเขื่อนใน 43 รัฐที่ถูกรื้อทิ้ง และแนวโน้มของการยกเลิกการใช้เขื่อนก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ดังในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีเขื่อนถึง 175 แห่งที่ถูกรื้อทิ้ง ซึ่งรวมถึงเขื่อนขนาดเล็ก 26 เขื่อนที่ถูกรื้อทิ้งในปี พ.ศ.2542 เพียงปีเดียว
เขื่อนในสหรัฐฯ นั้น มีทั้งที่สร้างโดยรัฐบาลและโดยเอกชน เหตุผลที่ทำให้มีการรื้อเขื่อนในสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้นก็เพราะ ประการแรก มีเขื่อนของรัฐบาลถึง 1,800 แห่ง ที่ทางการเห็นว่าไม่ปลอดภัย ในปี พ.ศ.2563 ร้อยละ 85 ของเขื่อนที่รัฐบาลสร้างขึ้นจะหมดอายุเนื่องจากมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ทำให้ผู้ที่สนับสนุนให้มีการรื้อเขื่อนต่างเรียกร้องให้ตระหนักถึงปัญหาการขาดแคลนเงินทุนในการบำรุงรักษาเขื่อนให้ปลอดภัย
ประการที่สอง การรื้อเขื่อนเป็นผลมาจากเงื่อนไขของการต่ออายุใบอนุญาตในการบริหารเขื่อนผลิตไฟฟ้าของเอกชน ที่ขอบริหารเขื่อนอีก 30-50 ปี จากคณะกรรมการควบคุมพลังงานแห่งมลรัฐ (the Federal Energy Regulatory Commission- FERC) ปัจจุบันใบอนุญาตที่คณะกรรมการฯ ดังกล่าวได้ออกให้แก่เอกชนมากกว่า 500 ใบจะหมดอายุภายในทศวรรษหน้า
การขอต่ออายุใบอนุญาตนี้ได้บังคับให้เจ้าของเขื่อน ผู้มีอำนาจการตัดสินใจของรัฐบาล ผู้ที่สนับสนุนการอนุรักษ์แม่น้ำ และชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อน ได้ร่วมกันประเมินความคุ้มทุนของเขื่อนใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการปกป้องสิ่งมีชีวิตที่ใกล้จะสูญพันธุ์ การรับรองสิทธิของชนพื้นถิ่นในการประมง และให้ อำนาจในการตัดสินใจที่เท่าเทียมกัน ในการใช้แม่น้ำทั้งในเรื่องของการประมง การพักผ่อนหย่อนใจ และคุณภาพสิ่งแวดล้อม
กระแสการรณรงค์และการสนับสนุนให้มีการฟื้นฟูแม่น้ำได้เกิดขึ้นทั่วสหรัฐฯ โดยที่การรณรงค์ที่สำคัญที่สุดก็คือ การเรียกร้องให้มีการระบายน้ำออกจากอ่างเก็บน้ำพาวเวลล์ของเขื่อนเกลน แคนยอน เพื่อฟื้นฟูหุบเขาเกลน แคนยอน ที่งดงามให้กลับคืนมา
-การรื้อเขื่อนในลุ่มน้ำโคลอมเบีย
พื้นที่ที่มีการเสนอให้มีการรื้อเขื่อนขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ มากที่สุดก็คือพื้นที่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ การสร้างเขื่อนในเขตนี้ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1900 ได้สร้างหายนะให้กับปลาซัลมอนแปซิฟิค (Pacific Salmon) อย่างมหาศาล ด้วยเหตุนี้ กลุ่มนักกิจกรรม ซึ่งรวมถึงกลุ่มเฟรนด์ออฟดิเอิร์ทซึ่งตั้งในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ จึงเรียกร้องให้มีการรื้อเขื่อนขนาดใหญ่หลายแห่งในรัฐวอชิงตัน ได้แก่เขื่อนในลุ่มแม่น้ำเอลวา (Elwha) แม่น้ำไวท์ซัลมอน (White Salmon) และแม่น้ำโลวเวอร์ สเนค (Lower Snake River) ชุมชนชาวอเมริกันพื้นถิ่น (Native American communities) ที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนเหล่านี้ได้เสนอให้มีการแก้นิยามกฎหมายรวมทั้งในสนธิสัญญาต่างๆ ที่มีพันธะกับรัฐบาลเพื่อให้มีการรื้อเขื่อนโดยให้มีการยอมรับสิทธิชนพื้นถิ่นในการประมง
การรื้อเขื่อนในเขตตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ มีนัยยะของเหตุผลดังนี้
· ชนพื้นถิ่นได้เข้าไปมีส่วนในการต่อใบอนุญาตเขื่อนและผลักดันให้มีการยอมรับสิทธิในการประมง
· การปกป้องสิ่งมีชีวิตที่ใกล้จะสูญพันธุ์และการฟื้นฟูลุ่มน้ำได้รับการยอมรับให้เป็นนโยบาย สาธารณะ ที่มีความสำคัญ
· องค์กรของรัฐได้สนับสนุนทุนในการศึกษาการยกเลิกการใช้เขื่อนและการรื้อเขื่อน
· ขนาด ความยุ่งยากสลับซับซ้อน และต้นทุนในการรื้อเขื่อนที่มีการเสนอนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีการคาดการณ์กันมาก่อน
การรื้อเขื่อนในแม่น้ำเอลวา
เขื่อนเอลวาที่สูง 32 เมตร และเขื่อนไกลนส์ แคนยอน (Glines Canyon) ที่สูง 82 เมตร นับเป็นเขื่อนที่สูงที่สุดที่มีรายชื่อในบัญชีค่าใช้จ่ายของรัฐสำหรับการรื้อเขื่อน เขื่อนทั้งสองเป็นเขื่อนของเอกชนที่สร้างในต้นทศวรรษ 1900 เพื่อผลิตไฟฟ้าป้อนให้กับโรงงานทำไม้ ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติโอลิมปิคเพนนินซูล่า การสร้างเขื่อนทั้งสองได้ทำลายเส้นทางอพยพที่ใหญ่ที่สุดของปลาซัลมอนแปซิฟิค และสร้างความเสียหายแก่พื้นที่ทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชนพื้นถิ่น ทำให้ปลาซัลมอนซ็อคอาย (Sockeye salmon) สูญพันธุ์ และปลาท้องถิ่นอื่นๆ อีกนับ 10 ชนิดลดลงอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญก็คือ การละเมิดสิทธิในการประมงของชนพื้นถิ่นชาวโลวเวอร์ เอลวา คลาลลัม (Lower Elwha Klallam) ซึ่งมลรัฐได้รับรองฐานะให้เป็นชนชาติอินเดียนแดง ในปี 2535 รัฐบาลได้ตระหนักถึงข้อเรียกร้องของชนพื้นถิ่นที่ขอให้ฟื้นฟูแม่น้ำเอลวาอย่างเต็มที่ ซึ่งรวมถึงการรื้อเขื่อนด้วย หลังจากที่ชนชาติโลวเวอร์ เอลวา คลาลลัม และองค์กรสิ่งแวดล้อมได้รณรงค์มานานถึง 25 ปี ในปี 2542 รัฐสภาจึงได้อนุมัติเงินให้ซื้อเขื่อนแห่งนี้จากเอกชนมาเป็นของรัฐ เมื่อรัฐบาลได้สิทธิในการจัดการเขื่อน รัฐบาลก็จะเริ่มดำเนินการรื้อเขื่อนซึ่งคาดว่าจะใช้ทุนราว 100 ล้านดอลลาร์ การฟื้นฟูแม่น้ำเอลวาคือความหวังสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับการแก้ปัญหาสิทธิการประมงของชาวโลวเวอร์ เอลวา คลาลลัม และการหวนกลับมาปลาซัลมอน
การรื้อเขื่อนในแม่น้ำไวท์ ซัลมอน
ประวัติศาสตร์ในปี 2542 คือการบรรลุข้อตกลงระหว่างชนพื้นถิ่นเผ่ายากิมา (Yakima) องค์กรของรัฐบาล กลุ่มสิ่งแวดล้อม และเจ้าของเขื่อนในการรับรองให้รื้อเขื่อนคอนดิต (Condit dam) ซึ่งเป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าของเอกชนที่สูง 38 เมตร โดยที่เจ้าของเขื่อนออกค่าใช้จ่าย การรื้อเขื่อนที่มีอายุ 87 ปีแห่งนี้จะทำให้แม่น้ำไวท์ ซัลมอนที่ยาว 78 กิโลเมตรไหลอย่างอิสระอีกครั้ง การรื้อเขื่อนจะช่วยฟื้นฟูปลาซัลมอนที่ใกล้จะสูญพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในเขตต้นน้ำให้ได้กลับไปยัง ปากแม่น้ำที่ไหลไปบรรจบกับแม่น้ำโคลอมเบีย การรักษาเขื่อนนี้ไว้โดยปฏิบัติตามเงื่อนไขของ ใบอนุญาตที่ออกให้ใหม่โดยคณะกรรมการพลังงานของมลรัฐ รวมทั้งการจัดให้มีบันไดปลาโจนที่ทันสมัย จะทำให้ต้นทุนที่แปซิฟิคคอร์ปผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเจ้าของเขื่อนแห่งนี้ต้องจ่ายเงินมากกว่า 30 ล้านดอลลาร์ซึ่งสูงกว่าค่าใช้จ่ายในการรื้อเขื่อนถึง 2 เท่า แปซิฟิคคอร์ปได้สัญญาว่าจะให้เงินในการรื้อเขื่อนแห่งนี้ผ่านกองทุนยกเลิกการใช้เขื่อนที่จะตั้งขึ้นโดยกองทุนพลังงาน ความสำเร็จในการร่วมมือกันระหว่างชนพื้นถิ่นและเจ้าของเขื่อนที่ยอมรับผิดชอบด้านการ เงินในการยกเลิกการใช้เขื่อนนับว่าเป็นประสบการณ์ที่สำคัญสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับแม่น้ำทั่วโลก
การรื้อเขื่อนในแม่น้ำโลวเวอร์ สเนค
การรณรงค์ที่ยิ่งใหญ่ระดับชาติก็คือ การผลักดันให้มีการยกเลิกการใช้เขื่อน 4 แห่งบนลุ่มน้ำโลวเวอร์ สเนคในเขตตะวันออกของรัฐวอชิงตันเพื่อให้ปลาซัลมอน 50 % ของปลา 15 ล้านตัวที่เคยมีในอดีตในแต่ละปีได้หวนกลับคืนสู่แม่น้ำโคลอมเบีย ทุกวันนี้แม่น้ำแห่งนี้ประสบกับหายนะทำให้ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาต้องใช้งบประมาณถึง 3 พันล้านดอลลาร์สำหรับโครงการลดผลกระทบในการวางไข่ของปลาในแม่น้ำ เขื่อนแต่ละแห่งที่มีความสูง 30 เมตรถูกสร้างขึ้นหลังทศวรรษ 1960 ได้ขัดขวางการเดินทางอพยพของปลา และยังกล่าวกันว่าจะเป็นตัวการที่จะทำให้ปลาซัลมอนต้องสูญพันธุ์ในที่สุด ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์เขื่อนแห่งนี้ซึ่งรวมถึงชนพื้นถิ่นที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำโคลอมเบียซึ่งปลาซัลมอน ของพวกเขาได้รับการรับรองจากสนธิสัญญาที่ทำกับรัฐบาลได้เรียกร้องให้องค์กรของรัฐได้ให้การเคารพ ต่อสิทธิในการทำประมงดั้งเดิม อีกทั้งให้เคารพกฎหมายปกป้องสิ่งมีชีวิตที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ได้มีแรงสนับสนุนจำนวนมากในการรื้อเขื่อนเอนกประสงค์เหล่านี้เพื่อให้แม่น้ำที่ยาว 225 กิโลเมตรได้ไหลอย่างอิสระอีกครั้ง การรื้อเขื่อนแห่งนี้จะทำให้รัฐบาลไม่ต้องถูกฟ้องร้องและรับภาระในการจ่ายความเสียหายในการตั้งกองทุน แก่ชนพื้นถิ่นซึ่งอาจจะทำให้รัฐต้องจ่ายเงินถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าค่ารื้อเขื่อนหลายเท่า
ประเด็นที่มีการโต้เถียงว่าควรจะรื้อเขื่อนในลุ่มน้ำโลวเวอร์ สเนคหรือไม่ ที่สำคัญที่สุดก็คือประเด็นได้อย่างเสียอย่าง (trade-off) ระหว่างผลได้ทางเศรษฐกิจของเขื่อน เช่น การสงเคราะห์ค่าน้ำในระบบชลประทาน ไฟฟ้า และการเดินเรือ กับคุณค่าทางสังคมของแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์
การรื้อเขื่อนในรัฐวิสคอนซิล
ในรัฐวิสคอนซิล นักกิจกรรมที่ทำงานกับชุมชนกำลังทำงานกับรัฐบาลและรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อให้รื้อเขื่อนซึ่งเป็นส่วน สำคัญของแผนการฟื้นฟูแม่น้ำของรัฐวิสคอนซิล ปัจจุบัน พันธมิตรแห่งแม่น้ำในรัฐวิสคอนซิลกำลังทำงานกับชุมชนในการรื้อเขื่อน 3 แห่งที่ไม่ปลอดภัย และเขื่อนอีกหลายแห่งซึ่งไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจที่สร้างบนแม่น้ำบาราบู (Baraboo River) ทางตอนใต้ของรัฐนี้ ภายในปี พ.ศ.2545 การรื้อเขื่อนทั้งหมดจำนวน 4 เขื่อนบนแม่น้ำบาราบูจะเสร็จสมบูรณ์ และแม่น้ำที่ยาว 193 กิโลเมตรก็จะไหลอย่างอิสระอีกครั้ง การรื้อเขื่อนบนแม่น้ำบาราบูจะทำให้การพักผ่อนตกปลาหวนคืนมาอีกครั้งซึ่งจะเอื้อประโยชน์กับผู้ที่อาศัยในท้องถิ่น และต้นทุนในการรื้อเขื่อนก็จะต่ำกว่าค่าซ่อมแซมเขื่อน
ฝรั่งเศส: รื้อเขื่อนผลิตไฟฟ้า คืนชีวิตให้ปลาซัลมอน
ฝรั่งเศสนับเป็นชาติแรกๆ ของโลกที่สามารถสร้างเขื่อนให้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ เพื่อผลิตไฟฟ้าป้อนให้กับอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผลพวงของการปฏิวัติอุตสาหกรรม การคิดค้นให้เขื่อนสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้นี้ ทำให้เขื่อนผลิตไฟฟ้ามีความสำคัญต่อวงการอุตสาหกรรมในยุโรปเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะประเทศอุตสาหกรรมในยุโรปที่ขาดแคลนถ่านหินจนกระทั่งเขื่อนผลิตไฟฟ้าได้ชื่อว่า ถ่านหินสีขาว (White coal) แต่ในปัจจุบัน ฝรั่งเศสกลับกลายมาเป็นชาติแรกในยุโรปที่ทำการรื้อเขื่อนผลิตไฟฟ้า
การรื้อเขื่อนผลิตไฟฟ้าในฝรั่งเศสเกิดขึ้นจากเครือข่ายเพื่อการคืนชีวิตให้กับแม่น้ำลอยเร (SOS Loire Vivante Network) ได้ทำการรณรงค์ให้มีการรื้อเขื่อนที่หมดอายุเพื่อฟื้นฟูแม่น้ำและคืนชีวิตให้ปลาซัลมอนประจำถิ่น ในปี พ.ศ.2541 เขื่อน 2 แห่งบนแม่น้ำสาขาของแม่น้ำลอยเรตอนบนได้ถูกรื้อทิ้งเพื่อเป็นการปกป้องปลาซัลมอนรอยเล โดยแรกสุด เขื่อนเซนต์ อีเทียน ดูวีกัน (Saint-Etienne-du-Vigan Dam) ที่กั้นแม่น้ำลอยเรตอนบนถูกรื้อทิ้ง การรื้อเขื่อนแห่งนี้นับว่าเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตของฝรั่งเศสได้ทำลาย เขื่อนเพื่อฟื้นฟูที่อยู่อาศัยของปลาซัลมอน ต่อมาแม่น้ำเวียน (Vienne River) ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาที่ใหญ่เป็นอันสองของแม่น้ำลอยเรก็ได้ไหลอย่าง อิสระอีกครั้งหลังจากที่เขื่อนไมสันส์ รูจ (Maisons-Rough Dam) ถูกรื้อทิ้ง
เขื่อนอีกแห่งที่มีการรื้อทิ้งคือ เขื่อนในเคอมนัสควิลเลค (Kermansquillec) ที่สร้างกั้นแม่น้ำลิเควอร์ (Liquer River) ถูกรื้อในปี พ.ศ.2539 หลังจากที่ตะกอนได้ทับถมในอ่างเก็บน้ำอย่างรวดเร็วคิดเป็น 50% ของปริมาตรอ่างเก็บน้ำ
การรื้อเขื่อนในฝรั่งเศสและแผนการจัดการแม่น้ำลอยเร ได้สะท้อนถึงกระแสความคิดในยุโรปที่ต้องการทบทวนการสร้างเขื่อน จากแต่เดิมยอมให้มีการสร้างเขื่อนในทศวรรษ 1950 จนทำให้เกิดเขื่อนนับพันๆ แห่ง
สาธารณรัฐเชค: การเติบโตของกระแสรื้อเขื่อนในยุโรป
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2534 กลุ่มองค์พัฒนาเอกชนในท้องถิ่นและประชาชนผู้ที่ตระหนักถึงปัญหาเขื่อนได้รณรงค์ให้รื้อเขื่อน 3 แห่งที่ได้ทำให้ท่วมพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ป่าไม้สองฝั่งแม่น้ำโมราวา (Morava) และแม่น้ำไดเจ (Dyje River) การที่พื้นที่ดังกล่าวได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่ชุมน้ำที่สำคัญของโลกตามบัญชีรายชื่อของแรมซาร์ รัฐบาลเชคจึงถูกกดดันให้ดูแลระบบนิเวศของพื้นที่แห่งนี้ ขณะที่กลุ่มสิ่งแวดล้อมประสบความสำเร็จในการทำให้มีการฟื้นฟูพื้นที่ด้วย การระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำของเขื่อน 2 แห่งเมื่อปี พ.ศ.2538 ในทางกลับกันกระทรวงเกษตรของรัฐบาลเชคอาจจะไม่สนับสนุนการฟื้นฟูพื้นที่ดังกล่าว
กลุ่มสิ่งแวดล้อมในเช็ค เช่น สถาบันสิ่งแวดล้อมเวโรนิกา ยังคงเดินหน้าเรียกร้องให้มีการยกเลิกการใช้เขื่อนโนฟ มลีนี (Nove Mlyny Dam) และเขื่อนอื่นๆ ในพื้นที่ดังกล่าว
แคนาดา: การเติบโตของกระแสคิดการยกเลิกการใช้เขื่อน
กระแสคิดเกี่ยวกับการยกเลิกการใช้เขื่อนในแคนาดาเพื่อฟื้นฟูแม่น้ำได้เติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องมาเขื่อนจำนวนมากได้หมดอายุลง ไม่เหมาะสมทางเศรษฐกิจ และทำลายสิ่งแวดล้อม ดังในจังหวัดบริทิชโคลอมเบียปรากฏว่าเขื่อน 400 แห่งจาก 2,000 แห่งได้หมดอายุลง หรือไม่ก็ใช้ประโยชน์ได้เล็กน้อยมาก หรือไม่ก็เป็นตัวการสำคัญในการทำลายการประมงชายฝั่ง ที่ผ่านมาได้มีการรื้อเขื่อนเล็กๆ ประมาณ 24 แห่งในจังหวัดนี้ไปแล้ว ขณะที่กระแสสนับสนุนแผนการยกเลิกการใช้เขื่อนอื่นๆ เพิ่มขึ้นก็ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง
บนแม่น้ำธีโอโดเชีย (Theodosia River) แผนการฟื้นฟูปลาซัลมอนในช่องแคบจอร์เจียเพื่อประโยชน์ทางการประมง และเพื่อการกีฬาให้กลับมาเหมือนเดิมเป็นเหตุผลสำคัญในการยกเลิกการใช้เขื่อนผันน้ำธีโอโดเชียที่มีอายุ 35 ปี
ไม่มีเขื่อนแห่งไหนที่จะอยู่ชั่วนิรันดร์ เพราะเขื่อนล้วนแต่มีอายุขัย สุดท้ายแล้ว เมื่อมันหมดอายุ มันก็เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง มาร์ค แองจีโล ประธานพันธมิตรเพื่อปกป้องแม่น้ำธีโอโดเชียกล่าว
พันธมิตรเพื่อปกป้องแม่น้ำธีโอโดเชียมีสมาชิกกว่า 140,000 คน ได้ทำการรณรงค์ให้รัฐบาลอนุมัติให้มีการยกเลิกการ ใช้เขื่อนแห่งนี้
การยกเลิกการใช้เขื่อนในประเทศกำลังพัฒนา
โคลอมเบีย: การรับรองสิทธิของคนพื้นถิ่นในการยกเลิกการใช้เขื่อน
เขื่อนอูร์รา (Urr'a Dam) มีกำลังการผลิตติดตั้ง 340 เมกะวัตต์ ได้ทำลายการประมงในพื้นที่ลำน้ำท้ายเขื่อนเสียหายยับเยินและก่อให้เกิดผลกระทบต่อชาวประมงถึง 60,000 คน เขื่อนแห่งนี้ยังทำให้ต้องอพยพชาวบ้านถึง 12,000 คน ที่ตั้งถิ่นฐานสองฝั่งแม่น้ำซินู (Sinu River)
ในเดือนเมษายน พ.ศ.2543 บริษัทสร้างเขื่อน เจ้าหน้าที่รัฐบาล และตัวแทนชนเผ่าเอ็มบีรา-กาติโอ (Embera-Katio) ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในบริเวณที่ปัจจุบันกลายอ่างเก็บน้ำของเขื่อนแห่งนี้ ได้บรรลุข้อตกลงในมาตรการการชดเชยเป็นการเฉพาะ ซึ่งข้อตกลงหนึ่งระบุว่า ชนเผ่าเอ็มบารามีสิทธิในการขอให้ยกเลิกการใช้เขื่อน ข้อตกลงนี้อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นกรณีแรกในประเทศกำลังพัฒนา ที่สิทธิของชนพื้นถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนในการยกเลิกการใช้เขื่อนในอนาคตได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ
ฮวน โฮเซ่ โลเปซ ตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบด้านท้ายน้ำของเขื่อนแห่งนี้ได้กล่าวกับตัวแทนบริษัทสแกนสกา (Skanska) จากสวีเดนซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างเขื่อนกล่าวว่า พวกเรามาที่นี่เพื่อตั้งคำถามจากส่วนลึกของหัวใจต่อบริษัทของท่านเพราะท่านคือผู้สร้างเขื่อนอูร์รา พวกเรามาที่นี่ เพื่อบอกกับท่านว่า การสร้างเขื่อนอูร์ราได้เข่นฆ่าวัฒนธรรมของพวกเราให้ตายลงอย่างช้าๆ สิ่งที่พวกเรากำลังร้องของต่อท่านก็คือ ท่านต้องเรียนรู้ประสบการณ์จากการสร้างเขื่อนอูร์ราเพื่อปฏิรูปโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของท่าน แล้วท่านจะได้ไม่ทำผิดพลาดในที่อื่นๆ ของโลกอีก ยิ่งไปกว่านั้น ท่านจะต้องถือว่าเขื่อนอูร์ราคือประวัติศาสตร์ของท่าน เพราะพวกเรากำลังนับถอยหลังเพื่อยกเลิกการใช้เขื่อนแห่งนี้ เพื่อที่จะให้ความรู้ทางเทคนิคแก่ท่าน
ไทย: ประวัติศาสตร์หน้าแรกของการยกเลิกการใช้เขื่อนในประเทศโลกที่สาม
ในประเทศไทย มีข้อเสนอจากประชาชนให้มีการยกเลิกการใช้เขื่อน 2 แห่งบนลุ่มน้ำมูนซึ่งเป็นสาขาแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดของแม่น้ำโขง คือเขื่อนปากมูลและเขื่อนราษีไศล เหตุผลในการยกเลิกการใช้เขื่อนนั้นมิใช่มาจากกระแสคิดจากภายนอกที่ให้มีการยกเลิกการใช้เขื่อน แต่เกิดจากเหตุผลภายใน นั่นก็คือ เขื่อนทั้ง 2 แห่งนี้ สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อชุมชนท้องถิ่นและระบบนิเวศน์จนยากที่จะแก้ไขได้
เขื่อนปากมูลเป็นเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าที่สร้างกั้นแม่น้ำมูนแม่น้ำสาขาที่ใหญ่ที่สุดของแม่น้ำโขง โดยการสนับสนุนเงินกู้ของธนาคารโลก เมื่อสร้างเขื่อนเสร็จในปี 2537 เขื่อนแห่งนี้ได้ก่อให้เกิดความหายนะอย่างใหญ่หลวงต่อชุมชนมากกว่า 60 แห่งบริเวณปากมูลและชุมชนหลายพันแห่งสองฝั่งแม่น้ำมูนและแม่น้ำสาขาที่วิถีชีวิตและเศรษฐกิจของชาวบ้านต้องพึ่งพาการประมง การสร้างเขื่อนปากมูลบริเวณรอยต่อระหว่างแม่น้ำมูนและแม่น้ำโขง ได้ปิดตายระบบนิเวศน์แม่น้ำในภาคอีสานตอนล่างอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากเขื่อนได้ปิดกั้นการเดินทางอพยพของปลาจากแม่น้ำโขง เขื่อนแห่งนี้ยังทำลายระบบนิเวศแม่น้ำที่สลับซับซ้อนประกอบด้วยแก่งมากกว่า 50 แห่งที่เป็นถิ่นอาศัยและวางไข่ของปลา บันไดปลาโจนราคาหลายสิบล้านบาทนั้นล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากไม่ช่วยให้ปลาเดินทางจกาแม่น้ำโขงผ่านเขื่อนได้ ขณะที่โครงการปล่อยพันธุ์ปลาและกุ้งก้ามกรามลงแม่น้ำของกรมประมงที่สนับสนุนโดย กฟผ.ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ทำให้การประมงพื้นบ้านในลำน้ำมูนต้องประสบกับหายนะเนื่องจากปลาจำนวนมากจากที่เคยมีถึง 265 ชนิดต้องลดลงอย่างรวดเร็วทั้งชนิดและปริมาณ ขณะที่เขื่อนนี้ผลิตไฟฟ้าได้เพียง 20 เมกะวัตต์จากที่ออกแบบไว้ 136 เมกะวัตต์ อีกทั้งไม่มีระบบชลประทานแม้แต่ไร่เดียวจากที่วางแผนไว้ 180,000 ไร่
การต่อสู้ของชาวปากมูลและองค์กรพัฒนาเอกชนอย่างต่อเนื่องทำให้ในปี 2543 รัฐบาลยอมรับที่จะเปิดประตูเขื่อนปากมูลเป็นเวลา 4 เดือนเพื่อให้ปลาจากแม่น้ำโขงเดินทางมาวางไข่ และในปี 2544 รัฐบาลก็เห็นด้วยให้เปิดประตูอีกครั้งเพื่อเป็นการฟื้นฟูระบบนิเวศน์แม่น้ำและศึกษาผลการทดลองเปิดประตู
สำหรับเขื่อนราษีไศล เป็นเขื่อนขนาดใหญ่ในเขื่อนชุดที่สร้างภายใต้โครงการผันน้ำโขง-ชี-มูล เขื่อนราษีไศลถูกสร้างกั้นแม่น้ำมูนตอนกลางในช่วงเดียวกับเขื่อนปากมูลโดยไม่มีการจัดทำ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามกฎหมาย ทำให้เกิดหายนะต่อชุมชนท้องถิ่นและระบบนิเวศน์อย่างมหาศาล เพราะบริเวณน้ำท่วมคือพื้นที่ป่าบุ่งป่าทามและที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสานที่ชาวบ้านในท้องถิ่นใช้ในการเกษตร การประมง ที่เลี้ยงสัตว์ แหล่งอาหาร และพืชสมุนไพร และแหล่งเกลือ เขื่อนแห่งนี้ยังทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำบนพื้นที่ที่มีชั้นเกลือใต้ดิน การกักเก็บน้ำจึงทำให้เกลือละลายจากใต้ดิน ทำให้น้ำจากเขื่อนไม่สามารถใช้ทำการเกษตรได้ หลังจากชาวบ้านในท้องถิ่นรณรงค์มานาน ในปี 2543 นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม จึงได้สั่งให้เปิดประตูระบายน้ำของเขื่อนแห่งนี้จนกว่าจะมีการแก้ไขผลกระทบแล้วเสร็จ รวมทั้งมีการประเมินผลกระทบใหม่
นอกจากเขื่อนทั้งสองในลุ่มน้ำมูนแล้ว รัฐบาลยังได้สั่งยกเลิกการกักเก็บน้ำของเขื่อนบางปะกงที่มีมูลค่า 6,000 ล้านบาท ที่สร้างกั้นแม่น้ำบางปะกงในภาคตะวันออก ภายใต้ความรับผิดชอบของกรมชลประทานและการสนับสนุนเงินทุนของ ADB เขื่อนแห่งนี้เมื่อสร้างเสร็จ ปรากฏว่าไม่ได้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด แต่กลับสร้างผลกระทบทางนิเวศน์อย่างร้ายแรง เนื่องจากน้ำเสียเหนือเขื่อน การปล่อยน้ำออกจากเขื่อนยังทำให้ตลิ่งสองฝั่งแม่น้ำพังทะลายอย่างรุนแรง
กรณีการเปิดประตูระบายน้ำเขื่อนปากมูล เขื่อนราษีไศล และเขื่อนบางปะกง นับได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เนื่องจากเป็นกรณีแรกที่มีการยกเลิกการใช้เขื่อนในประเทศกำลังพัฒนา แม้ว่าเป็นการยกเลิกชั่วคราวก็ตาม
รื้อเขื่อนหรือยกเลิกการใช้เขื่อน: สังคมจะได้อะไร
เขื่อนเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายระบบนิเวศน์แม่น้ำและการประมง เนื่องจากเขื่อนได้ขัดขวางการไหลของแม่น้ำ และวงจรธาตุอาหารของปลา ขัดขวางการเดินทางของปลา และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบอุณหภูมิและออกซิเจนที่ละลายในน้ำที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ นอกจากนั้นยังทำลายถิ่นอาศัยเฉพาะของสัตว์ประจำถิ่นและแม่น้ำถูกแทนที่ด้วยพันธุ์ปลาต่างถิ่น
การทำให้แม่น้ำกลับคืนสู่สภาพเดิมหลังการรื้อหรือยกเลิกการใช้เขื่อนแล้ว ได้ปรากฏว่าการประมงและสภาพถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำที่อุดมสมบูรณ์ได้กลับคืนมาอย่างรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด การรื้อหรือยกเลิกการใช้เขื่อนเพียงอย่างเดียวจะทำให้ระบบนิเวศน์แม่น้ำได้ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องมีการเพิ่มมาตรการอื่นๆ เข้าไปด้วย เช่น การปกป้องชนิดปลาประจำถิ่น การลดมลภาวะทางน้ำ การฟื้นฟูแหล่งที่อยู่อาศัยและวางไข่ของสัตว์น้ำ เช่น แก่ง เป็นต้น อีกทั้งยังต้องมีนโยบายในการฟื้นฟูระบบนิเวศน์ทั้งระบบลุ่มน้ำ
ผลที่ได้จากการรื้อหรือยกเลิกการใช้เขื่อนดังเช่น หนึ่งปีภายหลังการรื้อเขื่อนเอ็ดเวิร์ด (เขื่อนแห่งนี้รื้อเมื่อปี 2542) ปลาอพยพจำนวนมากได้หวนกลับคืนสู่แม่น้ำเมน เคนเนแบค ซึ่งก่อนหน้ามีเขื่อนขวางกั้น ปลาอัลลีไวฟ์ (Alewife) ซึ่งเป็นปลาอพยพเพื่อวางไข่ทางต้นน้ำชนิดหนึ่งซึ่งหายไปจากลำน้ำมานานกว่า 160 ปี ได้หวนกลับมานับล้านๆ ตัว เพื่อเป็นการปกป้องปลาที่อพยพระหว่างน้ำจืดกับทะเล ซึ่งรวมถึงปลาซัลมอนแอตแลนติค จึงมีการเสนอให้รื้อเขื่อนอีก 9 แห่งตลอดชายฝั่งเมน
ในกรณีของเขื่อนบนแม่น้ำบาราบูในรัฐวิสคอนซิล หลังการฟื้นฟูแม่น้ำเพียง 18 เดือนให้ไหลอย่างอิสระอีกครั้งหลังจากที่แม่น้ำถูกกีดขวางมาตั้งแต่ทศวรรษ 1850 ได้ปรากฏว่ามีพันธุ์ปลากลับคืนมาถึง 2 เท่า จาก 11 ชนิดเป็น 24 ชนิด
ในฝรั่งเศส หลังการรื้อเขื่อน 2 แห่งบนแม่น้ำสาขาของแม่น้ำลอยเรเมื่อปี 2542 ได้ปรากฏว่าปลาแฮริงประจำถิ่น ปลาแลมพรี และปลาซัลมอนจำนวนมากได้หวนกลับมาอีกครั้ง
ขณะที่การเปิดประตูเขื่อนปากมูลในปี 2543 เพียง 2 เดือน ชาวบ้านปากมูลพบว่ามีพันธุ์ปลากลับคืนมาถึง 93 ชนิด ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวถึงประโยชน์ของการกลับมาของปลาว่า อย่างน้อยที่สุดก็มีอาหารกิน และชาวบ้านมีความสุข ในปี 2544 เพียง 3 เดือนหลังเปิดประตูเขื่อนได้มีพันธุ์ปลากลับคืนมา 115 ชนิด และชาวประมงได้เริ่มต้นอาชีพประมงอีกครั้งหลังจากที่ต้องหยุดไปนับสิบปีภายหลังจากเริ่มมีการก่อสร้างเขื่อน
การยกเลิกการใช้เขื่อน: ความหมายและวิธีการ
การยกเลิกการใช้เขื่อน หรือการปลดระวางเขื่อน (Dam decommissioning) หมายถึงการยกเลิกการใช้งานซึ่งเป็นหน้าที่หลักของเขื่อนและรวมถึงการถอดอุปกรณ์การผลิตไฟฟ้าออก การเปิดประตูเขื่อนถาวร การรื้อเขื่อนดินบางส่วนทิ้ง หรือการรื้อเขื่อนออกทั้งหมด
วิธีการในการยกเลิกการใช้เขื่อนขึ้นอยู่กับลักษณะของเขื่อน (เช่น ขนาด แบบ และที่ตั้งของเขื่อน) คุณสมบัติของแม่น้ำ และเป้าหมาย (เช่น การฟื้นฟูการประมง การคืนที่ดิน และการพักผ่อนหย่อนใจ) ดังนั้นการยกเลิกการใช้เขื่อนจึงขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของแต่ละเขื่อน อีกทั้งยังจำเป็นต้องวางแผนอย่างระมัดระวังเพื่อลดความเสี่ยงทางด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยของคนท้ายเขื่อนด้วย
วิธีการในการยกเลิกการใช้เขื่อนเท่าที่มีมามีดังนี้
1.การื้อเขื่อนทั้งหมดโดยการระบายน้ำออกจากเขื่อนด้วยการสร้างทางผันน้ำ จากนั้นจึงใช้เครื่องกลหนัก เช่น รถขุดแบคโฮ ฆ้อนไฮดรอลิค เพื่อรื้อเขื่อนออก ดังการรื้อเขื่อนเอ็ดเวร์ดที่สูง 7 เมตร และยาว 280 เมตร ที่สร้างกั้นแม่น้ำเคนเนเบคในรัฐเมนที่ใช้เวลาในการรื้อเพียงไม่กี่วัน
2.ในกรณีที่เป็นเขื่อนดินและมีโครงสร้างอื่น สามารถรื้อเขื่อนโดยการรื้อส่วนที่มีโครงสร้างเป็นดินออก ซึ่งส่วนนี้จะเป็นส่วนที่กั้นลำน้ำมากที่สุด ดังเช่น การรื้อเขื่อนบนลุ่มน้ำสเนค เป็นต้น
3.ในกรณีที่เป็นเขื่อนคอนกรีต สามารถรื้อทิ้งโดยการใช้ระเบิดควบคุม ดังเช่น การรื้อเขื่อน เคลียร์วอเตอร์ (Clearwater) ในปี 2507 เขื่อนไคล์ (Clyde) ในปี 2539 เขื่อนลอยเร ในปี 2541 และเขื่อนคีสซิมมี (Kissimmee) ในปี 2543 นอกจากนั้นอาจมีการใช้ระเบิดร่วมกับเครื่องกลหนักในการรื้อเขื่อนแบบนี้
4.สำหรับเขื่อนแบบฝายที่มีประตูระบายน้ำแบบยกขึ้น เช่น เขื่อนนาการาในญี่ปุ่น เขื่อนปากมูล ยกเลิกการใช้เขื่อนด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุดคือการยกบานประตูระบายน้ำอย่างถาวร การยกเลิกการใช้เขื่อนแบบนี้สามารถฟื้นฟูแม่น้ำให้คืนสู่สภาพธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่จำเป็นต้องรื้อเขื่อน
ต้นทุนในการรื้อเขื่อน
นักสร้างเขื่อนน้อยมากที่จะมีแผนหรือยอมรับผิดชอบต้นทุนในการยกเลิกการใช้เขื่อน อย่างไรก็ตาม ในหลายกรณีได้ชี้ให้เห็นว่าต้นทุนในการรื้อเขื่อนต่ำกว่าค่าใช้จ่ายระยะยาวที่ต้องใช้สำหรับการรักษาให้เขื่อนปลอดภัย การรักษาสิ่งแวดล้อม การซ่อมแซม และการซ่อมบำรุงเขื่อน ตัวอย่างเช่น ค่าใช้จ่ายในการรื้อเขื่อนขนาดเล็ก 70 แห่งในรัฐวิสคอนซิล คิดเป็น 2 ใน 5 ของค่าซ่อมแซมเขื่อนที่มีการประเมินไว้ สำหรับต้นทุนในการรื้อเขื่อนโอ๊คสตรีต (Oak Street Dam) บนแม่น้ำบาราบู ได้มีค่าใช้จ่ายเพียง 30,000 เหรียญเท่านั้น แต่หากมีการซ่อมแซมเขื่อนนี้คาดว่าจะใช้เงินถึง 300,000 เหรียญ อีกตัวอย่างก็คือ การรื้อเขื่อนเอ็ดเวิร์ดได้ใช้เงินเพียง 1 ใน 3 ของค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงบันไดปลาโจนจำนวน 9 ล้านเหรียญตามเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนของการต่ออายุใบอนุญาต
สำหรับเขื่อนขนาดใหญ่ ค่าใช้จ่ายในการรื้อเขื่อนอาจจะถูกกว่าการซ่อมบำรุงและปรับปรุงเขื่อนเช่นกัน ดังเช่น การรื้อเขื่อนคอนดิต (Condit Dam) ที่สูง 40 เมตรในรัฐวอชิงตัน คาดว่าจะใช้เงินเพียง 15 ล้านเหรียญ ขณะที่ค่าใช้จ่ายที่ประเมินว่าต้องใช้ในการซ่อมแซมเขื่อนสูงถึงสองเท่าของค่าใช้จ่ายในการรื้อเขื่อน หรือกรณีเขื่อนเอลวาค่าใช้จ่ายที่รัฐจะต้องซื้อมาจากเอกชนและรวมกับค่ารื้อเขื่อนจะสูงถึง 200 ล้านเหรียญ แต่ค่าใช้จ่ายนี้ก็จะต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อน
การยกเลิกการใช้เขื่อนแบบฝายนั้นไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแม้แต่น้อย ดังเช่น ปากมูลที่เพียงแต่ยกบานประตูระบายน้ำ ขณะที่หากจะใช้เขื่อนแห่งนี้ต่อไป รัฐอาจจะต้องเสียเงินนับหมื่นล้านในการฟื้นฟูชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ไม่นับค่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายอื่นๆ เช่น ค่าสร้างบันไดปลาโจนใหม่ หรือ ค่าใช้จ่ายสำหรับการเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลาหรือกุ้งก้ามกราม
สำหรับกรณีเขื่อนราษีไศล การยกบานประตูเขื่อนถาวรไม่เพียงแต่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียวเท่านั้น แต่ยังทำให้ยุติความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐที่ยืดเยื้อมานับสิบปี รวมทั้งไม่ต้องเสี่ยงต่อปัญหาการแพร่กระจายของดินเค็มที่ยากที่จะแก้ไข
ปัญหาทางเทคนิคที่ท้าทาย
การระบายตะกอนออกจากเขื่อน
เขื่อนเป็นตัวการที่ดักตะกอนแม่น้ำจำนวนมากไว้เหนือเขื่อน ทำให้ในแต่ละปีต้องสูญเสียปริมาตรอ่างเก็บน้ำของเขื่อนทั่วโลกประมาณ 5-10% และทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ในการรื้อเขื่อน เช่น มักทำให้ต้นทุนในการรื้อเขื่อนสูง และเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนสำหรับเขื่อนขนาดใหญ่
เทคนิคในการระบายตะกอนออกจากเขื่อนมีลักษณะเฉพาะขึ้นอยู่กับปริมาณตะกอน ลักษณะของอ่างเก็บน้ำ อายุเขื่อน และการไหลทะลักของตะกอนออกจากเขื่อนถ้าหากมีการรื้อ การระบายตะกอนจะต้องทำอย่างระมัดระวังเพราะการปล่อยตะกอนออกจากเขื่อน จำนวนมากอาจจะทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของปลาท้ายเขื่อน ตัวอย่างเช่น การรื้อเขื่อนเอลวาในรัฐวอชิงตัน ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้ค่อยๆ ระบายตะกอนออกจากเขื่อนทีละน้อย เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อถิ่นที่วางไข่และตัวอ่อนของปลาซัลมอน
ผลกระทบที่เป็นไปได้ของการระบายตะกอนทิ้งก็คือ ปัญหาด้านการประมงและน้ำประปา ดังเช่นภายหลังการรื้อเขื่อนที่สูง 9 เมตรบนแม่น้ำฮัตสันในรัฐนิวยอร์คเมื่อปี 2516 สารพิษนับตันที่ถูกกักเก็บไว้เหนือเขื่อนก็ได้ไหลลงลำน้ำท้ายเขื่อน สารพิษในตะกอนนี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านสุขอนามัย และน้ำที่ไม่มีคุณภาพ และจำเป็นต้องทำความสะอาด ดังนั้นแล้ว การวิเคราะห์เรื่องตะกอนและให้ทำการประเมินก่อนการรื้อเขื่อนเพื่อ ให้เห็นผลกระทบที่จะตามมาในการระบายตะกอนจึงต้องรวมเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเพื่อรื้อเขื่อนด้วย
การหาทางเลือกอื่นทดแทนหน้าที่ของเขื่อน
ประเด็นหลักในการทำแผนการรื้อเขื่อนคือการแยกแยะให้เห็นทางเลือกด้านพลังงาน การชลประทาน และการประปา หรือหน้าที่อื่นๆ ของเขื่อนนั้นๆ เสียก่อน การรื้อเขื่อนมักจะทำให้เกิดการได้อย่างเสียอย่างในการใช้แม่น้ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ในการรื้อเขื่อนในสหรัฐฯ ก็คือ การหาทางเลือกนั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่น เขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าสามารถป้อนไฟฟ้าในแต่ละภูมิภาคน้อยมากเมื่อเทียบกับไฟฟ้าในระบบทั้งหมด แหล่งพลังงานทดแทนอื่นยังมีอีกมาก รวมถึงมาตรการในการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งทำให้ปัญหานี้หมดไปอย่างสิ้นเชิง หรือในกรณีการรื้อเขื่อน 12 แห่งบนแม่น้ำบุตต์ (Butte Creek) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ทำให้เกิดผลกระทบต่อความต้องการน้ำลดลงมากเนื่องจากมีมาตรการอื่นเข้าช่วย เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบชลประทาน เป็นต้น การจัดทำแผนการจัดการเพื่อทดแทนภารกิจของเขื่อนจะทำให้ผลกระทบจากการรื้อเขื่อนมีน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าการเปลี่ยนแปลงหรือผลกระทบนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ สังคมก็ควรที่จะยอมรับว่านี่คือต้นทุนของการฟื้นฟูแม่น้ำอย่างหนึ่ง
ในกรณีเขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา การยกเลิกการใช้เขื่อนจะไม่กระทบต่อระบบชลประทานแต่อย่างใด เนื่องจากในพื้นที่ทั้งสองแห่ง ชาวบ้านมีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการระบบชลประทานอยู่แล้ว เช่น ชาวบ้านรู้ว่าถ้าเป็นพื้นที่บุ่งทามก็สามารถทำระบบชลประทานแบบเหมืองฝายได้ ขณะที่พื้นที่โคกไม่ควรเอาระบบชลประทานเข้าไปเพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาดินเค็มตาม ที่สำคัญก็คือ ถ้าหากจะนำน้ำพื้นที่ชลประทานที่สร้างขึ้นใหม่ก็สามารถสูบน้ำจากแม่น้ำได้โดยตรงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีเขื่อนหรือไม่ก็ตาม
สำหรับกรณีเขื่อนปากมูล เขื่อนแห่งนี้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียง 20 เมกะวัตต์ จากที่ออกแบบไว้ 136 เมกะวัตต์ และผลิตไฟฟ้าได้สะเปะสะปะไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ คือ ต้องผลิตเพื่อเสริมระบบในช่วงที่มีความต้องการกระแสไฟฟ้าสูงสุด การยกเลิกการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนปากมูลจึงไม่ต้องหาทางเลือกแต่อย่างใด เพราะเขื่อนแห่งนี้แทบจะไม่มีประโยชน์ต่อระบบไฟฟ้าของภาคอีสาน
กองทุนในการยกเลิกการใช้เขื่อน
ปัญหาที่สำคัญอีกประการก็คือ เจ้าของเขื่อนไม่ได้เตรียมเงินไว้สำหรับการยกเลิกการใช้เขื่อน ปัญหานี้มีสาเหตุมาจากการขาดการจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามตรวจสอบเขื่อนที่สม่ำเสมอ ปัจจุบัน คณะกรรมการเขื่อนโลก (World Commission on Dams) ซึ่งธนาคารโลกได้สนับสนุนให้ก่อตั้ง ได้เรียกร้องให้มีการประเมินสมรรถนะของเขื่อนอย่างเคร่งครัดทุกๆ 3-5 ปี และเสนอให้ตั้งกองทุนในการยกเลิกการใช้เขื่อนควบคู่กันไป กองทุนในการยกเลิกการใช้เขื่อนต้องจัดตั้งก่อนหรือระหว่างที่มี การดำเนินโครงการซึ่งการดำเนินการนี้ก็เช่นเดียวกันกับบางประเทศที่มีกองทุนในการยกเลิกโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์นั่นเอง กองทุนนี้จะช่วยให้มีเงินในการยกเลิกการใช้เขื่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขื่อนขนาดใหญ่
ที่สำคัญก็คือ ใครก็ตามที่สร้างเขื่อน สนับสนุนเงินทุน และบริหารเขื่อน องค์กรนั้นก็ต้องรับผิดชอบในการยกเลิกการใช้เขื่อนนั้นๆ
|