ชี้ผันน้ำมิตรภาพไทย-ลาว อีสานรับภาวะดินเค็ม แถมเสียค่าน้ำฟรี ๆ
เหนือ-อีสาน/ชาวบ้าน-นักวิชาการ-เอ็นจีโอ 17 องค์กรส่งหนังสือถึง ธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศญี่ปุ่น และ กระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นค้านการให้ทุนศึกษาโครงการผันน้ำมิตรภาพไทย-ลาว อ้างเพื่อการเกษตรแต่ทำลายการเกษตร อีสานรับเละภาวะดินเค็มหลังผันน้ำ ทุ่งกุลาร้องไห้แหล่งปลูกข้าวหอมมะลิพังแน่เพราะเจอดินเค็ม แถมไทยต้องเสียค่าน้ำถึงปีละ 3,825 ล้านบาท
สืบเนื่องจากกรณีที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือ (Japan Bank for International Corporration-JBIC) กำลังจะสนับสนุนทุนในการศึกษาโครงการผันน้ำมิตรภาพไทย-ลาว ภายใต้ชื่อโครงการ LAOS-THAI FRIENDSHIP WATER DEVELOPMENT FOR SUSTAINABLE AGRICULTURE หรือ “โครงการพัฒนาแหล่งน้ำมิตรภาพลาว-ไทย เพื่อการเกษตรยั่งยืน” โดยการสร้างเขื่อน 3 แห่งในลาว และผันน้ำโดยการสร้างคลองและอุโมงค์ลอดแม่น้ำโขงเข้ามาใช้ในภาคอีสานของไทยในเขตลุ่มน้ำชีตอนล่าง โดยจะให้บริษัทซันยู คอนซัลแตนท์ จำกัด ได้ทำการศึกษาโครงการพัฒนาแม่น้ำโขงในเบื้องต้น ซึ่งการเตรียมการดังกล่าวได้ทำให้วานนี้ (8 พฤษภาคม) องค์กรชาวบ้าน องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรวิชาการ 17 องค์กรทั้งในอีสาน และภาคเหนืออาทิ ชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติและฟื้นฟูลุ่มน้ำอิง ชมรมอนุรักษ์และฟื้นฟูลุ่มน้ำสงคราม สมัชชาคนจน เครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เครือข่ายชาติพันธุ์ศึกษา ได้ร่วมทำหนังสือคัดค้านการให้ทุนสนับสนุนโครงการดังกล่าวส่งถึงนายชิโนซาวา ประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (JBIC) สำนักงานกรุงเทพฯ และ นายมิตซูรุ คิทาโน ผู้อำนวยฝ่ายการช่วยเหลือเงินกู้ กระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น
โดยจดหมายดังกล่าวระบุเหตุผลที่คัดค้านการให้ทุนสนับสนุนว่าโครงการดังกล่าวจะส่งผลกระทบทั้งต่อประเทศลาว และประเทศไทย โดยในประเทศลาว การผันน้ำจะทำให้มีการอพยพชาวบ้านจำนวนมาก และขวางการอพยพของปลาจากแม่น้ำโขง ขณะที่ประเทศไทยจะเผชิญกับภาวะดินเค็ม และไม่เหมาะสมทางเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากชาวนาอีสานไม่ได้ขาดแคลนน้ำ ชาวบ้านมีการทำการเกษตรในพื้นที่โคกโดยอาศัยน้ำฝน และทำนาในทาม (พื้นที่ชุ่มน้ำ) ในฤดูแล้ง ฉะนั้นชาวบ้านไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการแต่อย่างไร
นายไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ ผู้ประสานงานเครือข่ายแม่น้ำเอเซียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวว่าโครงการดังกล่าวประกอบด้วยการสร้างเขื่อนที่ประเทศลาว 2 เขื่อนกั้นลำน้ำเซบางเหียง แล้วขุดคลองผันน้ำจนมาถึงแม่น้ำโขง จึงลอดอุโมงค์ข้ามลำน้ำโขง โดยฝั่งไทยจะมีสถานีสูบน้ำและขุดคลองชลประทานโดยสายหลักจะมีความยาวรวม 200 กิโลเมตร และสายย่อยอีก 8 สายครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำชี ตอนล่าง และทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นความยาวรวมประมาณ 550 กิโลเมตร หรือครอบคลุม จ.อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร ศีรษะเกษ และร้อยเอ็ด เป็นพื้นที่ประมาณ 1,875,000 ไร่
นายไชยณรงค์กล่าวต่อว่าโครงการผันน้ำดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำท่วมในลำน้ำเซบังเหียง แล้วสร้างระบบชลประทานสำหรับการเกษตรบนพื้นที่สูงของลาวคิดเป็นพื้นที่ประมาณ 500,000 ไร่ และมุ่งขายน้ำให้กับไทยในราคา0.026 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ลูบาศก์เมตร หรือ 1.17 บาทต่อลูกบาศก์เมตร โดยสามารถส่งน้ำให้ไทยได้ปีละประมาณ 3,270 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งถ้าไทยเข้าร่วมโครงการจะต้องเสียเงินปีละ 3,825.9 ล้านบาท
"ขณะนี้โครงการโขง ชี มูน ซึ่งเป็นการผันน้ำโขงเช่นกันยังไม่สามารถดำเนินการด้านชลประทานได้ตามแผนที่กำหนดไว้ อีกทั้งยังล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเพราะประสบกับปัญหาน้ำไปชะล้างความเค็มจากใต้พื้นดินขึ้นมา ทำให้น้ำเค็ม และน้ำนั้นก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้ในการเกษตร พื้นที่ที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือทุ่งกุลาร้องไห้เพราะถือเป็นพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดของโลกก็จะหายไป น้ำเค็มจากการชลประทานจะเข้ามาทำลายนาข้าวเสียหายหมด” นายไชยณรงค์ย้ำผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคอีสานหากมีการดำเนินโครงการดังกล่าว
ผู้ประสานงานเครือข่ายแม่น้ำฯ กล่าวว่าหากศึกษาในรายละเอียดของโครงการนี้ ก็ยังมีความไม่เข้าใจวิถีชีวิตและระบบการผลิตของชาวอีสานอีกด้วย เพราะเกษตรยั่งยืนของโครงการนี้จะหมายถึงการทำนาปีละ 2 ครั้ง ขณะที่พื้นที่อีสานมีการทำนาในที่โคก (ที่สูง) อยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นถ้ารัฐไทยเข้าร่วมโครงการก็จะเสียเปล่าทั้งการลงทุนสร้างระบบคลองที่ต้องกู้มา และจ่ายค่าน้ำให้ลาวโดยที่ทำการเกษตรไม่ได้ แล้วแถมยังต้องไปเวนคืนที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัยของชาวบ้านอีกเพื่อขุดคลอง
ด้านเจ้าหน้าที่จากโครงการแม่โขงวอช (MAE KHONG WATCH) (ขอสงวนนาม) ซึ่งติดตามปัญหาผลกระทบดังกล่าวให้ความเห็นพิ่มเติมต่อผลกระทบในประเทศลาวว่าจะเหมือนกับการสร้างเขื่อนในไทย เพราะคนลาวกับคนอีสานวิถีชีวิตเหมือนกัน เป็นการพึ่งพิงธรรมชาติอย่างมาก การสร้างเขื่อนจะทำให้มีการอพยพคนลาวออกนอกพื้นที่ เสียพื้นที่การเกษตร ไม่สามารถจับปลาได้เพราะปริมาณปลาลดลง ด้านฝั่งไทยจะต้องเจอกับปัญหาดินเค็มแพร่กระจาย ดังนั้นเราจึงไม่เห็นด้วยกับการมีโครงการ โดยจะพยายามติดต่อเพื่อชี้แจงต่อทาง JBIC ของญี่ปุ่น และทาง JBIC ควรจะต้องรับฟังความคิดเห็นของคนไทยและคนลาว.