การเดินทางไกลของ “พ่อหลวงนุ” จากสาละวินสู่อาเซียน
เรื่องราวของพ่อหลวงนุ: เสียงจากปกากญอเพื่อแม่น้ำสาละวิน
เป็นเวลาสองวันแล้วที่ชายวัยกลางคนชาวปกากญอหรือกะเหรี่ยงจากบ้านมา เริ่มด้วยการเดินเท้าออกจากป่า ขี่มอเตอร์ไซค์ลงดอย ต่อรถโดยสารเข้าเมือง และนอนบนรถทัวร์อีกคืนหนึ่ง เช้านี้เองที่เขาเดินทางถึงจุดหมายที่ริมทะเลชะอำ
ไม่บ่อยครั้งนักที่พ่อหลวงนุ ชำนาญคีรีไพร จะเดินทางออกนอกจังหวัดแม่ฮ่องสอน และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางจากบ้านป่าริมน้ำสาละวินมาไกลนับพันกิโลเมตรถึงทะเลเพชรบุรี วันนี้พ่อหลวงนุและชาวบ้านอีก 6 คน มาที่ชะอำเพื่อร่วมเวที “มหกรรมประชาชนอาเซียน” ซึ่งจัดก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 15
"ที่สาละวินไม่มีเงินเราอยู่ได้สบาย เก็บผักจากป่า จับปลาในลำห้วย แต่ถ้าไม่มีป่า ไม่มีห้วย ไม่มีแม่น้ำสาละวิน เราก็ไม่รอด" พ่อหลวงนุ เล่าถึงทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ของชาวบ้านที่ชายแดนไทย-พม่า
หลายปีมานี้แม่น้ำสาละวินกำลังถูกจับจองเพื่อสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าส่งขายให้แก่ประเทศไทย โครงการมูลค่านับแสนล้านนี้เป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัทจากจีน และรัฐบาลทหารพม่า
จากแผนเขื่อนสาละวินที่มีการศึกษาไว้ทั้งสิ้น 5 โครงการ สองโครงการที่มีความคืบหน้ามากที่สุดคือโครงการเขื่อนฮัตจีในรัฐกะเหรี่ยง ขนาด 1,360 เมกะวัตต์ และโครงการเขื่อนท่าซางในรัฐฉาน ขนาด 7,110 เมกะวัตต์
"ชาวบ้านไม่เคยรู้ข้อมูลเรื่องเขื่อนจริงๆ เลย เขาจะสร้างตรงไหน น้ำท่วมเท่าไหร่ ปลาจะหายไปหรือเปล่า คนที่จะสร้างเขื่อนไม่มาถาม ไม่มาบอกชาวบ้านเลย เวทีประชาคมให้ชาวบ้านแสดงความคิดเห็นก็ไม่มี" พ่อหลวงนุกล่าว
เป็นเวลาร่วม 10 ปีที่พ่อหลวงนุ ในฐานะแกนนำเครือข่ายทรัพยากรลุ่มน้ำสาละวิน จ.แม่ฮ่องสอน ทำงานกับชาวบ้านอย่างเข้มแข็งเพื่อให้ชาวบ้านสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชุมชน
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาเครือข่ายชาวบ้านได้จัดกิจกรรมโดยใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยง เพื่อแสดงออกถึงความหวงแหนและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนนำเสนอการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน เช่น การบวชป่าร่วมกับชุมชนตลอดลำน้ำสาละวินชายแดนไทย-พม่า จัดตั้งเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลา และพิธีสืบชาตาแม่น้ำ ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี
"จะอยู่ฝั่งไทยหรือฝั่งพม่าก็เป็นลูกสาละวินเหมือนกัน ถ้าสร้างเขื่อนในพม่า พี่น้องเราก็ต้องเดือดร้อน สุดท้ายก็ต้องหนีมาฝั่งไทย มาอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย" ชาวกะเหรี่ยงรู้ดีว่า นอกจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว เขื่อนสาละวินในพม่าจะเปิดช่องให้ทหารพม่าเข้ามากดขี่ข่มเหงชาวบ้าน ด้วยข้ออ้างเพื่อคุ้มกันความปลอดภัยของเขื่อน แต่ที่จริงคือการทำลายล้างเพื่อนมนุษย์ต่างชาติพันธุ์
รายงานภาคสนามของกลุ่มสิทธิมนุษยชนกะเหรี่ยงระบุว่า ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา กองทัพพม่าร่วมกับกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ (DKBA) โจมตีพื้นที่ของกองกำลังกะเหรี่ยงอิสระ (KNU) ในพื้นที่รัฐกะเหรี่ยง ส่งผลให้ชาวบ้านต้องหนีตายมายังประเทศไทยอย่างน้อย 3,500 คน โดยเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ระหว่างแม่น้ำเมยและสาละวิน ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดสร้างเขื่อนฮัตจีและแนวตัดถนนจากชายแดนไทยเข้าสู่หัวงานเขื่อน ตลอดจนแนวสายส่งไฟฟ้า
การเดินทางมาไกลครั้งนี้ พ่อหลวงนุและชาวบ้านตั้งใจมาบอกเล่าปัญหาต่อรัฐบาลและอาเซียน "ดูทีวีเห็น ส.ส. พูดในสภา ไม่เห็นมีใครพูดถึงเรื่องของเราเลย เห็นมีแต่เถียงกัน ไม่เห็นพูดเรื่องของประชาชน คิดว่าชาวบ้านพูดเองน่าจะดีกว่า" พ่อหลวงนุกล่าว
วาระสำคัญในมหกรรมประชาชนอาเซียนคือ "เวทีสิ่งแวดล้อมภาคประชาชนอาเซียน" ซึ่งมีเป้าหมายให้อาเซียนมีเสายุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อม หลังจากซุกซ่อนงานด้านนี้ไว้ในเสาอื่นๆ
ภาคประชาชนเห็นตรงกันว่าการรุกคืบของทุน โดยเฉพาะโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ เช่น โครงการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงและสาละวิน ซึ่งเป็นแม่น้ำนานาชาติสายสำคัญในภูมิภาค กำลังเข้ามาย่ำยีโดยไม่สนใจวิถีชีวิตของคนและสิ่งแวดล้อม หรือโครงการขุดเจาะก๊าซในท้องทะเลที่เตรียมวางท่อขนส่งโยงใยไปทั่ว ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมไม่น้อย ขณะที่คนท้องถิ่นแทบไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ
"เราอยู่มากันตั้งแต่พ่อตั้งแต่ปู่ ไม่มีไฟฟ้าก็อยู่กันมาได้ อยู่บ้านในป่ามีแค่โซลาร์เซลล์ ทั้งหมู่บ้านมีทีวีเครื่องเดียวก็พอแล้ว เอาไว้ดูข่าว" พ่อหลวงนุเล่าถึงวิถีของชาวบ้าน
"เคยมาในเมือง เข้าในห้าง เห็นเขาสร้างตึกใหญ่ๆ ให้มืดแล้วก็เปิดไฟเยอะๆ เปิดแอร์จนหนาว ในเมืองใช้ไฟกันเยอะแบบนี้แล้วก็ต้องมาสร้างเขื่อนที่บ้านเรา" ข้อสังเกตของพ่อหลวงตรงกับข้อมูลที่ระบุว่าไฟฟ้าส่วนใหญ่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ ขณะที่ภาคครัวเรือนใช้ไฟเพียงไม่ถึงร้อยละ 20
ภาคประชาชนมองว่าการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เหล่านี้ขัดแย้งกับกฎบัตรอาเซียน ซึ่งให้ความสำคัญต่อการปกป้องสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ และการรักษาวัฒนธรรม และตั้งคำถามต่ออาเซียนว่าจะดำเนินการอย่างไรที่จะส่งเสริมกลไกความโปร่งใส การรับผิดชอบต่อสาธารณะ และการมีส่วนร่วมของประชาชน ในกระบวนการวางแผนพลังงานในระดับประเทศและภูมิภาค
สำหรับโครงการขนาดใหญ่ ภาคประชาชนมีข้อเสนอต่ออาเซียนให้เร่งทำความเข้าใจในโครงการเหล่านี้ในฐานะประเด็นเฉพาะหน้าที่กำลังคุกคามความมั่นคงทางอาหารและวิถีชีวิตของพลเมือง รัฐบาลสมาชิกอาเซียนควรทบทวนการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านให้เป็นไปตามกฎบัตรอาเซียน เคารพสิทธิมนุษยชน และไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
"ชาวบ้านรวมกันส่งจดหมายถึงนายกฯ อภิสิทธิ์ไปแล้ว ให้นายกฯ หยุดโครงการเขื่อนสาละวิน เพราะชาวบ้านจะเดือดร้อนทั้งฝั่งไทยฝั่งพม่า แต่ก็ไม่รู้ว่านายกฯ จะว่ายังไง" พ่อหลวงนุเล่าถึงความพยายามของชาวบ้านกว่าหนึ่งพันคนที่ส่งจดหมายผ่านสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนกรกฎาคม แต่เรื่องยังคงเงียบหาย
"มาชะอำครั้งนี้เขาบอกว่ามีประชุมอาเซียน จะมีรัฐบาลหลายประเทศมาประชุม เราก็อยากอธิบายให้เขาเข้าใจความรู้สึกของชาวบ้าน แต่คงต้องรอดูว่าอาเซียนจะเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีใครมาฟังพวกเราบ้าง จะช่วยชาวบ้านได้จริงไหม"
พ่อหลวงนุตั้งคำถามที่ไม่เคยได้คำตอบ แต่เขาไม่เคยสิ้นหวังหรือย่อท้อที่จะอธิบายต่อสังคม หวังว่าเสียงของผู้อาวุโสปกากญอจะดังคุ้มค่ากับการเดินทางไกลครั้งนี้