ความยุติธรรมในการพัฒนา
: กรณีเขื่อนปากมูล
ชยันต์ วรรธนะภูติ
กรกฎาคม 2543
ขณะที่เขียนบทความชิ้นนี้
ชาวบ้านปากมูล
ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการเขื่อนปากมูลกำลังชุมุนมอยู่ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
และ เตรียมตัวอดอาหาร
เพื่อรอการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี
ที่จะพิจารณาข้อเรียกร้องให้มีการนำเอามติคณะกรรมการกลางแก้ไขปัญหา
ปากมูล
ที่เสนอให้เปิดประตูระบายน้ำ
เป็นระยะเวลา 4 เดือน
เพื่อไม่ให้ปลาขึ้นมาวางไข่
และเพื่อให้ลำน้ำมูลได้ไหลตามธรรมชาติ
และให้ระบบ นิเวศน์ฟื้นตัว
ทำไมรัฐบาลจึงไม่ฟังเสียงของคณะกรรมการกลาง
ทำไมจึงเมินเฉยต่อปัญหาคนจน
ที่มาเรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงสิบปี
ที่ผ่านมา ทำไมคนจน
ซึ่งมีทั้งผู้หญิง คนแก่
และเด็ก
จึงต้องเดินทางมาชุมนุมหน้าทำเนียบอีกครั้ง
จนถึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตา
ใช้ความรุนแรง
และจับกุมชาวบ้านเมื่อพยายามจะเข้าไปภายในบริเวณทำเนียบ
(ซึ่งเป็นความพยายามครั้งที่
2)
แต่ต่อมาได้รับการประกันตัว
เขื่อนปากมูลเป็นเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ
ที่ได้รับอนุมัติให้สร้างขึ้นในปี
2532 ในสมัยรัฐบาลชาติชาย
ชุณหวัณ
และดำเนินการแล้วเสร็จ
ในปี 2537
โดยที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.)ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการอ้างว่าเป็นเอนกประสงค์
นอกจากจะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อสนอง
ความต้องการด้านพลังงาน
ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของเมือง
และภาคอุตสาหกรรมแล้ว
ยังจะนำความเจริญมาสู่ พื้นที่
นั้นคือ
สามารถพัฒนาระบบชลประทาน
ช่วยให้สามารถทำการเกษตรได้มากขึ้น
สามารถจะใช้อ่างหลังเขื่อนเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลา
และพัฒนา
เป็นแหล่งท่องเที่ยว
ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีงานทำและมีรายได้มากขึ้น
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ
เขื่อนจะนำมาซึ่งการพัฒนามาสู่พื้นที่บริเวณ
ปากมูล
ซึ่งอยู่ในอำเภอโขงเจียม
จังหวัดอุบลราชธานี
ซึ่งถูกมองว่าด้อยพัฒนาในสายตาของรัฐ
ภายใต้กระแสการพัฒนาแบบทุนนิยม
การสร้าง
เขื่อนก็คือสัญลักษณ์ของการพัฒนา
ที่จะเอื้อประโยชน์ใหญ่หลวงต่อสังคม
แต่ในความเป็นจริง
ก็คือการอาศัยตรรกของการพัฒนาเข้าครอบครอง
พื้นที่
เพื่อดึงเอาทรัพยากรที่เป็นปัจจัยการผลิตของคนในชนบทไปให้คนในเมือง
ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม
นั่นเอง
การสร้างเขื่อนปากมูล
ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับเงินกู้จากธนาคารโลก
ดำเนินไปท่ามกลางกระแสการคัดค้านจากชาวเมืองอุบลราชธานี
และชาวบ้านที่อยู่อาศัยริมฝั่งแม่น้ำมูล
ด้วยเหตุผลที่ว่า
การสสร้างเขื่อนปากมูลจะมีปผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของแม่น้ำมูลที่เต็มไปด้วยเกาะ
แก่ง 50 กว่าแก่ง
และมีความสำคัญต่อปลาสองร้อยกว่าชนิดที่อาศัยอยู่ในลำน้ำมูล
ซึ่งในจำนวนนี้มีปลาประเภทต่างๆที่อพยพจากแม่น้ำโขงขึ้น
มาวางไข่ในแม่น้ำมูล
ซึ่งมีบริเวณที่เป็น ป่าบุ่งป่าทาม
และห้วยหนองที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำมูล
เช่นเดียวกับโครงการขนาดใหญ่ของรัฐที่ดำเนิน
ไปในนามของการพัฒนา
การมีส่วนร่วมของชาวบ้านในการตัดสินว่าจะให้มีการสร้างเขื่อนหรือไม่
เป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในส่วนหนึ่งของกระบวนการ
วางแผน และการตัดสินใจ
เพราะตรรกะของการพัฒนา
ก็คือ
คนส่วนน้อยต้องเสียสละให้แก่คนส่วนใหญ่
ในกรณีโครงการเขื่อนปากมูล
กฟผ.ซึ่ง
เป็นหน่วยงานรับผิดชอบก็หาได้เปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนว่าจะมีผลกระทบต่อชีวิตชาวบ้เาานอย่างไร
ความไม่ยุติธรรมประการแรกคือ
แม้กระ
ทั่งเขื่อนสร้างจวนจะเสร็จ
ชาวบ้านเพิ่งจะทราบว่าที่อยู่อาศัย
และที่ทำกินของตนจะถูกน้ำท่วมหรือไม่
กลวิธีในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ที่
มีการคัดค้านก็คือ
การใช้กลวิธีแบ่งแยกแล้วปกครอง
โดยดึงชาวบ้านส่วนหนึ่งที่อิงกับอำนาจรัฐออกไปดูงาน
และโน้มน้าวให้สนับสนุนการ
สร้างเขื่อน
จนกระทั่งพี่น้องชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกันต้องแบ่งแยกออกเป็นสองฝักสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันในประเด็นของการสร้างหรือไม่สร้าง
เขื่อน
มีข้อสังเกตว่า
พื้นที่ก่อสร้างเขื่อนปากมูลนั้น
เป็นบริเวณระหว่างแก่งหัวเห่วและแก่งตะนะ
ที่ชาวบ้าานถือว่าเป็น เมืองหลวงของ
ปลา
เพราะเป็นบริเวณที่มีปลาชุกชุม
เนื่องจากมีแก่ง มีถ้ำ
ซอกหลืบหิน
หรือบาางแห่งเป็นวัง
หรือที่ที่มีน้ำลึก
เพื่อการวางฐานรากของเขื่อน
กฟผ.จึงใช้วิธีการระเบิดเขื่อนเพื่อขนย้ายหินออก
และเปิดช่องทางสำหรับระบายน้ำที่ออกจากกังหันปั่นไฟ
แรงระเบิดในช่วงสามปีของการสร้าง
เขื่อนทำให้ปลาตายเป็นจำนวนมาก
ทำให้เกิดสะเก็ดหิน
ฝุ่นละอองปลิวกระจายทั่วหมู่บ้าน
ชาวบ้าน
และมีเสียงดังของระเบิด
จนชาวบ้านไม่
สามารถอาศัยอยู่ในบ้านของตนได้
การระเบิดแก่งดังกล่าวนี้
ไม่ได้มีการระบุไว้ในแผนงานของโครงการแต่อย่างใด แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นหลัง
จากการสร้างเขื่อนไม่ใช่อยู่ที่การระเบิดแก่งอย่างเดียว
หรือไม่ได้อยู่ที่การที่ชาวบ้านต้องถูกอพยพย้ายบ้านเรือน
และที่ทำกินเพราะถูน้ำท่วม
เท่านั้น
แต่การสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ
ยังทำให้เกิดน้ำท่วมจากบริเวณหลังเขื่อน
ที่ทำให้แก่งต่างๆ
ในบริเวณแม่น้ำมูลตอนล่าง
50 กว่าแก่งต้องจม
อยู่ภายใต้กระแสน้ำ
แต่เดิมแก่งเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นเครื่องฟอกน้ำให้ใสสะอาด
ในระบบนิเวศจองลุ่มน้ำมูลตอนล่าง
แก่งเป็นแหล่งที่พักอาศัย
แหล่งอาหารจองปลาหลากหลายชนิด
และเป็นเสมือนบันไดธรรมชาติ
ให้ปลาว่ายทวนน้ำขึ้นไปวางไข่ในฤดูน้ำหลาก
พื้นที่ป่าบุ่งป่าทาม
ริมฝั่ง
แม่น้ำมูลที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและเป็นแหล่งอาหารธรรมชาติก็ถูกน้ำท่วมด้วยเช่นกัน
ปัญหาสำคัญที่เกิดตามมาในเชิงนิเวศวิทยาก็คือ
ตัว
เขื่อนเองกลับกลายเป็นกำแพงขวางกั้น
ตัดวงจรของชีวิตชองปลาในลำน้ำมูล
และแม่น้ำโขง
ทำให้ไม่สามารถว่ายขึ้นมาวางไข่ตามฤดูกาลได้
ผลกระทบที่เกิดขึ้นอีกประการหนึ่งคือ
ได้เขื่อนพลังไฟฟ้า
แต่ชาวบ้าน 50 60
หมู่บ้านไม่สามารถจะอาศัยลำน้ำเป็นแหล่งทำมาหากินได้เช่นเดิม
ชาวบ้านเหบ่านี้
หาใช่ชาวนาที่มีที่ดินปลูกข้าวเป็นหลัก
แต่เป็นชาวประมงขนาดเล็กที่จับปลาขาย
หรือแลกข้าว
ถึงแม้ว่าจะมีการสร้างบันได
ปลาโจนบริเวณหน้าเขื่อน
โดยหวังส่าปลาจะสามารถกระโดดขึ้นมาตามขั้นบันไดได้
แต่ในความเป็นจริงบันได้ปลาโจนที่สร้างขึ้นมีความลาด
ขันสูงเกินกว่าปลาจนาดต่าง
ๆจะขึ้นมา ในน้ำไม่มีปลา
เพราะปลาขึ้นน้ำไม่ได้
และการเพาะเลี้ยวปลาของศูนย์เพาะพันธ์ของกรมประมง
ก็ไม่ สามารถจะเพาะพันธุ์
ให้เติบโตได้ในอ่างเก็บน้ำหลังเจื่อน
ซึ่งมีสภาวะน้ำเสีย
เนื่องจากน้ำไม่ถ่ายเท
เมื่อรัฐบาลยึด
พื้นที่ของชาวบ้าน เพื่อ
เปลี่ยนให้เป็น
พื้นที่ของรัฐเพื่อการพัฒนา
คำถามก็คือ รัฐ
หรือหน่วยงานรับผิดชอบได้ดำเนินการขดเขยให้แก่อย่างไร
เพราะประเด็นนี้คนส่วน
ใหญ่ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
และมักจะได้รับการบอกเล่าจากกฟผ.ว่า
ได้มีการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ชาวบ้านหมดแล้ว
และอ้างว่าชาวบ้านบางราย
ได้รับเงินค่าชดเชยเป็นเงินเรือนแสนเรือนล้าน
ค่าชดเชยแบ่งออกเป็น 2
กรณีคือ
ค่าชดเชยให้แก่ชาวบ้านที่ต้องอพยพไปตั้งบ้านเรือนใหม่
ทั้งใน
กรณีที่ได้รับผลกระทบจากการระเบิดแก่ง
แลกรณีที่พื้นที่ทำกิน
หรือที่ชาวบ้านถูกน้ำท่วม
กรณีที่สองคือ
ค่าชดเชยที่จ่ายให้ชาวบ้าน
เนื่องจากการ
สูญเสียรายได้ระหว่างการก่อสร้างเจื่อนเป็นระยะเวลา
3 ปี
ซึ่งจ่ายให้เป็นเงินสดรายละ
30000 บาท
และเป็นเงินผลประโยชน์ที่ฝากไว้ในรูป
สหกรณ์ปากมูลรายละ 60000 บาท
แต่กว่าที่ชาวบ้านเหล่านี้จะได้รับเงินก็จะต้องผ่านการต่อสู้เรียกร้องจำนวนหลายครั้ง
เนื่องจากกฟผ.มีการ
เกณฑ์คิดค่าชดเชย
ชาวบ้านที่เติบโตจากแม่น้ำมูล
ต้องว่ายน้ำพายเรือและทอดแห
เพื่อพิสูจน์ว่า
เขาคือชาวประมงที่แท้จริง
เงื่อนไขกฎระเบียบ
ของทางการ
และระยะเวลาที่ทอดยาวนานกว่าจะได้รับค่าชดเชย
ก็คือท่าทีที่เฉื่อยชาจากรัฐต่อปัญหาความยุติธรรมในการพัฒนา
ที่สุดทำให้ชาว
บ้านต้องขายทรัพย์สินที่มีอยู่
หรือกู้ยืมเงิน
หรือออกไปเป็นแรงงานรับจ้างต่างจังหวัด
ครอบครัวต้องแยกกันอยู่
เกิดสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด
ยิ่งเมื่อสภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ
ชาวบ้านที่เคยออกไปหางานทำในเมืองก็ต้องกลับคืนสู่บ้าน
การพัฒนาอาชีพเพื่อให้เป็นทางออกแก่ชาวบ้าน
ก็หาได้เป็นจริงตามที่ได้ระบุไว้ในโครงการ
กฟผ.จัดให้มีการอบรมวิชาชีพให้แก่ชาว
บ้าน เช่น ทำขนมเค้ก ตัดผม
ดัดผม ซ่อมจักรยายยนต์
ช่างไฟ
แต่การอบรมอาชีพเปล่านี้
กลับมีปัญหา
เพราะไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตจริงได้
และชาวบ้านเองก็ตั้งข้อสังเกตว่า
ผู้ที่เข้าอบรมส่วนใหญ่เป็นฝ่ายของชาวบ้านที่อยู่ส่วนเดียวกับกฟผ.เมื่อชาวบ้านไม่มีอาชีพทางเลือก
ก็ต้องกลับ
ไปจับหลาเช่นเดิม
จนเกิดข้อขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ประมงที่ต้องการอนุรักษ์พันธ์ปลา
และขัดแย้งกับกฟผ.ที่ควบคุมการปิดเปิดประตูระบายน้ำ
การ
เปิดประตูระบายน้ำทำให้ชาวบ้านเข้าไปหาปลาหน้าเขื่อนไม่ได้
หรือเมื่อมีการเปิดประตูระบายน้ำเพื่อปั่นไฟ
น้ำที่ระบายออกมาจากช่องระบาย
น้ำกังหัน
มีความแรงมากจนทำให้เครื่องมือจับปลาของชาวบ้านถูกน้ำพัดเสียหาย
ผลกระทบทางสังคมที่เกิดขึ้นจากโครงการพัฒนาของรัฐ
มิใช่
แค่เพียงการสูญเสียอาชีพ
การแตกสลายของชุมชน
หรือการสูญเสียองค์ความรู้พื้นบ้านเท่านั้น
แต่การที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจากการพัฒนา
และการไม่นำพาของรัฐต่างหากที่เป็นผลกระทบทางสังคม
ที่ชาวบ้านได้รับครั้งแล้วครั้งเล่า
การต่อสู้ของชาวปากมูล
โดยการรวมตัวเข้ากับสมัชชาคนจนในเงื่อนไขความไม่ยุติธรรม
จากการพัฒนา ต้องเข้าใจว่า
เป็นความต้อง
การที่แสวงหาพ้นที่ทางสังคม
ที่ช่วยให้เขาสามารถจะเรียกร้องให้รัฐและสังคมได้รับทราบถึงความไม่ยุติธรรมในการพัฒนา
เป็นที่น่าสังเกตว่า
ตลอดระยะเวลาดังกล่าว
หาได้มีนักการเมืองในท้องถิ่น
เข้ามาแก้ไขปัญหาแต่ประการใด
การเมื่องในระบบเป็นการเมืองที่ไม่เปิดโอกาสให้คน
คนเรียกร้องให้ฟื้นฟูสภาพของแม่น้ำมูลเพื่อให้แม่น้ำมูลอันเป็นสายเลือดของเขาได้ไหลตาม
ธรรมชาติ
และให้ปลาหลากหลายพันธุ์ได้ขึ้นมาวาง
ไข่ตามฤดูกาล
แต่ข้อเรียกร้องหาได้รับความสนใจจากรัฐบาลไม่
ชาวบ้านปากมูลจึงได้เข้ามาร้องเรียนต่อรัฐบาลในกรุงเทพ
และเข้ายึดพื้นที่
บริเวณทำเนียบรัฐบาลในวันที่
18 พฤษภาคม 2543
นำมาสู่การตั้งคณะกรรมการกลาง
ฯ
ซึ่งมาจากตัวแทนของทั้งสองฝ่าย
แต่ท้ายสุดมติของ
คณะกรรมการกลางฯ
ก็ไม่ได้รับการพิจารณา
จึงทำให้ชาวบ้านปากมูลต้องเข้ามาชุมนุมที่หน้าทำเนียบอีกครั้ง
และถูกกดดันจนกระทั่งนำมาสู่
การใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ทุบตี
และจับกุมในฐานะที่บุกรุกพื้นที่ของทางราชการ
ถ้ารัฐบาลได้มองปัญหาของคนจนด้วยความเข้าใจว่า
โครงการพัฒนาของรัฐทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรของชาวบ้าน
เพื่อประโยชน์ ที่เรียกว่า
การพัฒนา
ซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายแต่ประการใด
แต่กลับนำมาสู่
การทำลายสิ่งแวดล้อมและนำไปสู่การสูญ
เสียปัจจัยในการดำรงชีวิตของชาวบ้าน
ตลอดจนข้อเท็จจริงที่ว่า
รัฐเองก็ไม่มีความเข้าใจปัญหา
และไม่ได้แก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
แต่กลับมอง
ว่าเป็นปัญหาการเมือง
หรือปล่อยให้มีการใช้กำลังเข้ากระทำต่อชาวบ้าน
หรือปล่อยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกล่าวหาป้ายสีชาวบ้านต่างๆ
นานาดังที่
เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา
คำถามก็คือ
คนจนจะอยู่ได้อย่างไร
และความยุติธรรมของการพัฒนาอยู่ที่ไหน
ถึงเวลาหรือยังที่สังคมจะต้องประเมิน
ผลอย่างจริงจังกับตรรกของการพัฒนา
และรัฐที่เมินเฉยต่อคนจน
|