สัญญาณ เตือนชนชั้นกลาง
โดย เกษียร เตชะพีระ
มติชนรายวัน 12 สค.43 น. 6
ปาฐกถาที่คุณอานันท์ ปันยารชุน กล่าวในงานสัมมนา บทบาทของสหประชาชาติในศตวรรษที่ ๒๑ ณ กระทรวงการต่าง ประเทศ เมื่อ ๗ สิงหาคม ศกนี้นั้น อ่านดูแล้ว แทนที่จะตั้งชื่อตามพาดหัวว่า :-
อานันท์ ปันยารชุน ส่งสัญญาณเตือน บัวแก้ว ' (มติชนรายวัน, ๘ ส.ค. ๒๕๔๓, น.๒)
ผมคิดว่าน่าจะเป็น :-
อานันท์ ปันยารชุน ส่งสัญญาณเตือนคนชั้นกลาง มากกว่า !
คนชั้นกลางที่เคยเป็นลูกคนโปรดและถูกตามใจจนเสียคนของรัฐไทย
ซึ่งเมื่อเติบใหญ่ ก็ลุกขึ้นมากบฎต่อรัฐเยี่ยงทรพี
และมาบัดนี้กำลังถูกรัฐทิ้งขว้าง ถีบส่งเข้าตลาดเสรีไร้พรมแดน ......
สองลักษณะแรก เสน่ห์ จามริก ชี้ไว้แต่คล้อยหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬไม่กี่วันในปาฐกถา ณ หอประ ชุมเล็กธรรมศาสตร์ เรื่อง ๖๐ ปีประชาธิปไตยไทย (รัฐธรรมนูญและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและ ๖๐ ปีประชาธิปไตยไทย, ๒๕๓๕)
มันเริ่มจากชนชั้นนำไทยแต่งตั้ง คนชั้นกลาง เป็นพระเอกแห่งความทันสมัย ประชาธิปไตย และการ พัฒนาของชาติ ในทาง อุดมการณ์โดย นายกิมเหลียง วัฒนปฤดา (หลวงวิจิตรวาทการ) หลังเปลี่ยนแปลงการปก ครอง ๒๔๗๕ และต่อมาก็ในทางนโยบาย โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้ก่อตั้งรัฐราชการสัมบูรณาญาสิทธิ์และ แผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ
เกษตรกรรมแบบพอเพียงถูกผลักดันให้ปลูกพืชเศรษฐกิจการค้าเชิงเดี่ยวในขอบเขตทั่วประเทศ สนอง นโยบายอุตสาหกรรม ที่ให้คนไทยทั้งชาติเปิดประเทศ เสียสละสังเวยทรัพยากร สิ่งแวดล้อม พืชพันธุ์ธัญญาหาร และแรงงานราคา ถูก สาธารณูปโภคอัตรา ย่อมเยา สิทธิยกเว้นลดหย่อนภาษี อภิสิทธิ์ที่จะได้รับการเลือกปฏิบัติ ทางกฎหมาย ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสนับสนุนค้ำจุนลดต้นทุน แก่กลุ่มทุนในประเทศและต่างชาติอันเป็นคน ส่วนน้อย ท่ามกลางการทอดทิ้งเกษตรกรรายย่อยและผู้ประกอบการรายย่อยส่วนข้างมาก ให้ตีบตันล้มละลาย กลายเป็น คนจน ขายแรงงานไร้ฝีมือหรือขายบริการในราคาถูก
ด้วยความหวังว่านโยบายอันลำเอียง ไม่ทั่วถึง ไม่เสมอภาค และไม่ยั่งยืนนี้จะทำให้ประเทศชาติพัฒนา
แล้วความรวยจะค่อย ๆ หยดหยาดจากคนที่รวยก่อนเพราะได้เปรียบจากนโยบายดังกล่าวมาสู่คนที่จนก่อนเพราะ เสียเปรียบ เพื่อจะได้รวยทีหลัง (นิธิ เอียวศรีวงศ์, เบื้องลึกของการประท้วง , มติชนรายวัน, ๔ ส.ค. ๒๕๔๓, น.๖)
คนชั้นกลางได้อาศัยโหนเกาะนโยบายอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมให้ รัฐใหญ่-ทุนขยาย-เมืองโต -ชนบท ลีบ ลอยตัวหลุดออก มาจากเศรษฐกิจพอเพียงและความยากจนในชนบท ไม่ว่าเป็นชนบทที่ซัวเถา อีสานหรือ ที่อื่น ๆ ค่อยสร้างเนื้อสร้างตัวผ่านช่วงอุต สาหกรรมทดแทนการนำเข้า สู่อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก กระทั่งมา ถึงโลกาภิวัตน์และเศรษฐกิจฟองสบู่เมื่อไม่นานมานี้
คนชั้นกลางจึงมีปัญหามากในการเข้าใจคนจนว่าทำไมจึงจน และยากจะเห็นคุณค่าเศรษฐกิจพอเพียงที่ คนจนพยายามเรียกร้อง จะฟื้นฟูบูรณะและรักษาไว้ให้ยั่งยืน เพราะวิถียังชีพแต่เดิมของคนจนหรือนัยหนึ่ง เศรษฐกิจพอเพียงเป็นอดีตที่คนชั้นกลางทิ้งไว้เบื้อง หลัง เป็นสิ่งที่เขาไม่รู้จักหรือเคยรู้จักแต่ปฏิเสธและดูหมิ่น พูดอีกอย่างก็คือ ความเป็นคนชั้นกลางของเขาซื้อหามาด้วยการตัดขาด ปฏิเสธภูมิหลังทางสังคมของตนอันได้แก่ เศรษฐกิจพอเพียง ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจพอเพียงของคนจนกับเศรษฐกิจ การค้าของคนชั้น กลางจึงเป็นการขาดตอนแตกหักจากกัน มากกว่าการสืบทอดต่อเนื่องงอกงามพัฒนา (สิริวิชญ์, นิธิ เอียวศรีวงศ์ วิเคราะห์สถาน- การณ์คนจน ทางเลือก-ทางรอดสหัสวรรษใหม่, เนชั่นสุดสัปดาห์, ๘: ๓๙๔ (๒๓-๒๙ ธ.ค. ๒๕๔๒), ๒๐-๑)
พร้อมกับคริสต์ทศวรรษแห่งโลกาภิวัตน์ที่ ๑๙๙๐ เศรษฐกิจของคนชั้นกลางไทยเข้าพัวพันแนบแน่น กับกระบวนการและ กลไกทุนนิยมฟองสบู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่เกาะเกี่ยวไปกับกระแสการขนส่งไหลเวียน ข้ามพรมแดนในขอบเขตลูกโลกของข่าว สารข้อมูล (ธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม-สื่อสิ่งพิมพ์และอิเล็กทรอนิกส์-บันเทิง), คน (ท่องเที่ยว-โรงแรม บริการทางเพศ), เงิน (การเงิน การธนาคาร-หลักทรัพย์-อสังหาริมทรัพย์) และ สิ่งของ (ค้าปลีก-ห้างสรรพสินค้า-นำเข้า-ส่งออก) (สุวินัย ภรณวลัย, ทุนนิยมฟองสบู่, ๒๕๓๗, น. ๑๔๗)
ใต้ฟองสบู่บูมราวช่วงปี ๒๕๓๗-๓๘ ธีรยุทธ บุญมีถึงแก่ออกมาแสดงความยินดีที่คนไทย-ซึ่งก่อน อื่นคงหมายถึงคนชั้น กลาง-จะรวยกันใหญ่ ขณะที่รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ส่งเสียงเตือนว่าในกระแสโลกาภิวัตน์ เมืองไทยกำลังตกอยู่ในสภาพ ประเทศชาติ มั่งคั่ง ประชาชนยากจน
ฉากต่อจากนั้นเป็นอย่างไร เราท่านย่อมทราบดีอยู่เพราะประสบมาด้วยตัวเอง แต่คงหาใครสรุปกระ ชับคมคายดังในปาฐกถา ของคุณอานันท์ที่อ้างถึงข้างต้นได้ยาก เขากล่าวตอนหนึ่งว่า :-
ปัญหาโลกขณะนี้มีมากมาย แต่ประเทศที่เขาพัฒนามาดีแล้ว ๒๐-๓๐ ปี อาจใช้รูปแบบการพัฒนาที่ไม่ ยั่งยืนก็ได้ แต่อัตรา การเติบโตดี ชนชั้นกลางมีมากขึ้น แต่วันดีคืนดี กระบวนการโลกาภิวัตน์เข้ามาทำลายทุกอย่าง ที่สร้างเอาไว้ ..... (มติชนรายวัน, ๘ ส.ค. ๒๕๔๓, น.๒)
โดยไม่เอ่ยชื่อ ประเทศหนึ่งประเทศนั้นย่อมหมายถึงประเทศไทยเราเอง
ที่จบไปคือคู่มือทำความรู้จักคนชั้นกลางไทยทางเศรษฐกิจ กล่าวในแง่การเมือง .....
คนชั้นกลางไทยโดยเฉพาะนักศึกษาปัญญาชนผู้เป็นลูกหลานผ่านการต่อสู้แลกเลือดกับเผด็จการใหญ่ ๆ มา ๔ ครั้ง คือ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖, ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙, การต่อสู้ด้วยอาวุธในเขตป่าเขา และ พฤษภา ทมิฬ ๒๕๓๕ การเสียสละทั้งหมดแลกได้ มาซึ่งสัญญาประชาคมไม่เป็นลายลักษณ์อักษรที่บรรจุเข้าเป็นมาตรา หนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทยว่า
ใครฆ่าคนชั้นกลางกลางเมืองไม่ได้ ต้องออกจากอำนาจไป
หลังจากนั้น คนชั้นกลางก็กลายเป็นภูมิประเทศใหม่ของสังคมการเมืองไทย เป็นพรมแดนใหม่ของ ความเป็นไปได้และเป็น ไปไม่ได้ทางการเมือง จนอาจกล่าวได้ว่า
พลังฝ่ายใดช่วงชิงคนชั้นกลางมาเป็นพวกไม่ได้ พลังนั้นก็ไม่ชนะ
วิถีชีวิตที่คลุกเคล้าอยู่กับฐานเศรษฐกิจฟองสบู่และสังคมบริโภค นำไปสู่จิตวิญญาณฟองสบู่และวัฒน- ธรรมบริโภคนิยม ส่งผลให้ท่าทีทางการเมืองของคนชั้นกลางมีลักษณะอ่อนไหวฉาบฉวย คล้อยตามผลประโยชน์ และโอกาสเฉพาะหน้า มากกว่ายึดมั่น หลักการใดตายตัว นิยมเสรีภาพเอกชน มากกว่านิยมประชาธิปไตยของ ประชาชน หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ประชาธิปไตยที่ดี ของคน ชั้นกลางหมายความแค่
ระบบการเมืองพหุนิยมซึ่งมีรัฐบาลเสรีนิยมที่มั่นคง รัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเสรี ยุติธรรม และสม่ำเสมอ ระบบ พรรคการเมืองที่สะอาด ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ โดยศูนย์อำนาจเหล่านี้เปิดให้คน ชั้นกลางเข้าถึงได้
ส่วนขบวนการแรงงานและชาวนานั้น ไม่มีซะก็ไม่เห็นเสียหายอะไรตรงไหน
ดังนั้นท่าทีการเมืองของคนชั้นกลางจึงออกจะขึ้น ๆ ลง ๆ ลักปิดลักเปิดชอบกล อาทิ ออกมาเชียร์รัฐ- ประหารรสช. ปี ๒๕๓๔ แต่ออกมาต้านรัฐบาลสุจินดาปี ๒๕๓๕, เชียร์พลตรีจำลองให้นำม็อบชนแหลกรัฐบาล สุจินดาเมื่อเดือน พ.ค. แต่หันไปเลือก พรรคประชาธิปัตย์ที่อ้างว่ายึดมั่นระบบรัฐสภา ต่อต้านอนาธิปไตยในเดือน ก.ย. ปีเดียวกัน, เห็นอกเห็นใจสนับสนุนคุณฉลาด วรฉัตรที่ อดข้าวเรียกร้องให้นายกฯ สุจินดาลาออกปี ๒๕๓๕ แต่ออกมาประณามฉลาดสาดเสียเทเสียที่อดข้าวเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญปี ๒๕๓๗ แต่แล้วก็หันไปสนับ สนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปการเมืองปี ๒๕๔๐ ที่เป็นผลสืบเนื่องมา, เรียกร้องให้ถวายพระราชอำนาจ คืน และเอารัฐบาลพระราชทานในช่วงวิกฤตการเงินปี ๒๕๔๐ และมาบัดนี้ก็เริ่มมีเสียง เรียกร้องจากนายธนาคาร ใหญ่ให้ เว้นวรรค ทางการเมืองอีกแล้ว เป็นต้น
สรุปว่าคนชั้นกลางเป็นพันธมิตรที่ไว้วางใจไม่ได้ของทั้งเผด็จการและประชาธิปไตย ,ของทั้งคนจนและ ชนชั้นนำ พอ ๆ กัน
พวกเขามีฐานะเศรษฐกิจ ความรู้จากการศึกษาในแบบ ทักษะภาษาในการสื่อสาร ที่อยู่ที่ทำงานในเมือง และเครื่องมือสื่อ สารสมัยใหม่ ที่จะส่งเสียงโวยวายตีโพยตีพายดังลั่นผ่านสื่อมวลชนไปกดดันรัฐบาลให้ดำเนิน นโยบายเอื้ออวยให้พวกเขาขูดรีดทรัพยา กรจากชนบทมาใช้ต่อไปได้
แต่ในทางกลับกัน พวกเขาก็ต่างคนต่างไปตัวใครตัวมัน ขาดพลังจัดตั้งและแนวทางความคิดที่เป็น เอกภาพพอจะไปควบคุม การทุจริตประพฤติมิชอบของบรรดานักเลือกตั้งผู้อาศัยเงื่อนไขความยากจนในชนบท ซื้อเสียงขึ้นสู่อำนาจรัฐได้
มันขัดกันไหมล่ะครับ ?
ในความหมายนี้ ปฏิรูปการเมืองที่มุ่งแต่คุมนักเลือกตั้ง แต่ไม่เปลี่ยนแนวทางการพัฒนา จึงมีแต่ล้มเหลว กับล้มเหลวเท่านั้น
บัดนี้หลังวิกฤตเศรษฐกิจและการปรับโครงสร้างทุนนิยมไทยครั้งใหญ่ตามแนวทางโลกาภิวัตน์/เสรีนิยมใหม่ของ ไอเอ็มเอฟ- วอชิงตัน คนชั้นกลางมาถึงทางตัน ไม่อาจดำเนินชีวิตประกอบธุรกิจใต้การโอบอุ้มอุปถัมภ์ อันอบอุ่นเอื้อเฟื้อของรัฐไทยเสียแล้ว
คนชั้นกลางถูกตีนที่มองเห็นของไอเอ็มเอฟและรัฐไทยถีบส่งพ้นการอุปถัมภ์ของรัฐเข้าสู่ตลาดเสรีที่เปิด กว้างไร้พรมแดน ต้อง ลงสนามแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรและตลาดกับบรรษัทข้ามชาติที่ทุนหนากว่า สายป่านยาว กว่า ระดมทุนได้กว้างกว่า กำลังซื้อสูงกว่า ยี่ห้อดังกว่า เทคโนโลยีทันสมัยกว่า ทักษะการบริหารจัดการเหนือ กว่า ข่าวสารข้อมูลเป็นระบบกว่า แถมยังได้รับการพะเน้าพะนอ เอาอกเอาใจจากรัฐบาลเป็นพิเศษกว่าด้วย ภาย ใต้กติกาแข่งขันเหี้ยมเกรียมเลือดเย็นแบบป่าดงดิบที่อนุญาตให้เฉพาะคนที่ฟิตที่สุด เท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้
คนชั้นกลางไทยกำลังสูญเสียรัฐผู้ให้กำเนิดและอุปถัมภ์ที่ดีที่สุดของตนแก่บรรษัทข้ามชาติ ต้องเผชิญ ความผันผวนไม่มั่นคง ทางเศรษฐกิจชีวิตการงานอย่างไม่เคยเจอมาก่อน ไม่รู้ว่าหุ้นหลักทรัพย์ที่ดินที่ซื้อไว้เก็ง กำไรจะร่วงรูดหมดค่าวันไหน ทรัพยากรทักษะ ความรู้ติดตัวจะหมดราคาไม่เป็นที่ต้องการของตลาดยามใด และตัวเองจะถูกโยนลงถังขยะคนตกงานไปต่อแถวคนจนข้างถนนเมื่อไหร่ กัน
คนจนไม่ได้ผูกขาดความทุกข์ยากไว้ผู้เดียวอีกต่อไป
ทางเลือกของคนชั้นกลางในสถานการณ์เช่นนี้มีไม่มาก
ทางหนึ่งคือเดินตามแนวทางเสรีนิยมใหม่ของรัฐบาลชวนกับกลไกรัฐย้อนยุคปฏิกิริยา โดดโลดเต้นกระ พริบไฟหน้ารถต่อ ต้านลาว-มือที่สาม-และคอมมิวนิสต์ค้อนเคียวไปตามสัญชาติญาณใฝ่ต่ำที่ถูกโฆษณาชวนเชื่อ ของรัฐปลุกระดมโหมกระพือขึ้นมา ให้ เกลียดกลัวดูถูกดูหมิ่นไม่ไว้วางใจคนจนกับเอ็นจีโอที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมชาติเดียวกัน เชียร์ให้เจ้าหน้าที่กระทืบทุบตีคนจน ทั้งที่ ตัวเองกำลังลอยคออยู่กลางตลาดรอวันจมดิ่งลงสู่ ห้วงเหวความยากจนวันนี้พรุ่งนี้อยู่รอมร่อ
หรือไม่ก็หันมาสร้างเสริมคุณธรรมใฝ่สูงของตนด้วยการ สงสาร...เห็นใจ...เอื้ออาทร คนจนดังคุณ อานันท์ส่งสัญญาณ เตือน จับมือจับเข่าปรึกษาหารือกับคนจน ร่วมกันหาแนวทางวิธีการใหม่ในการจัดสรรแบ่ง ปันทรัพยากรและแก้ไขความขัดแย้งในหมู่ เพื่อนร่วมชาติต่างฐานะชนชั้น เพื่อจะได้พัฒนาไปพร้อม ๆ กันอย่าง เสมอภาค ทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน
|