“หยาดเหงื่อ หยาดน้ำตา ความเป็นมาของคนหลังเขื่อนสิรินธร”

fas fa-pencil-alt
สมัชชาคนจน
fas fa-calendar
24 เมษายน 2540

ความเป็นมา

คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2509 ให้สำนักงานพลังงานแห่งชาติสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้ากำลังผลิต 36 เมกะวัตต์ กั้นลำโดมน้อยใกล้บ้านเหล่าคำชมพู ตำบลคันไร่ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาด 292 ตารางกิโลเมตร หรือ 182,500 ไร่ ตัวเขื่อนมีระดับกักเก็บน้ำสูงสุด 142.2 ม.รทก. เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2510 และเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2513 ในระหว่างการก่อสร้าง สำนักงานพลังงานแห่งชาติให้สัญญากับชาวบ้านว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น โดยจะทำนาปีละ 2 ครั้ง และมีอาชีพประมงเป็นอาชีพใหม่ที่สร้างรายได้และความมั่นคงให้กับครอบครัว

แต่คำสัญญานั้นก็หายไป พร้อมกับความสงบสุขของชาวบ้าน จนถึงวันนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะเป็นจริง

ผู้เสียหาย

  1. ผู้สูญเสียที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ต้องอพยพจากถิ่นฐานเดิม 6,000 คน จาก 1,270 ครอบครัว รัฐจ่ายค่าชดเชยและจัดที่ดินทำกินให้ครอบครัวละ 15 ไร่ (เอกสารประกอบการประชุม คณะทำงานช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนสิรินธร ครั้งที่ 2/2540 วันที่ 24 เมษายน 2540)
  2. ผู้สูญเสียเฉพาะที่ดินทำกิน ไม่สูญเสียที่อยู่อาศัย รัฐชดเชยเฉพาะค่าที่ดิน
  3. ผู้สูญเสียที่ดินหรือที่อยู่อาศัย แต่ไม่ได้รับค่าชดเชยใดๆ ทั้งสิ้น

การชดเชยความเดือดร้อนที่ผ่านมา

ในการจัดพื้นที่รองรับชาวบ้านที่ต้องอพยพ รัฐบาลมอบให้กรมประชาสงเคราะห์จัดตั้งนิคมสร้างตนเองลำโดมน้อยขึ้น บริเวณป่ากุดชมภู จัดที่ดินให้ผู้ถูกอพยพครอบครัวละ 15 ไร่ แบ่งเป็นที่อยู่อาศัย 2 ไร่ ที่ทำกิน 13 ไร่ มีราษฎรอพยพเข้าไปอยู่ในนิคมเพียง 768 ครอบครัว ประมาณ 60% ของผู้ถูกอพยพทั้งหมด ส่วนผู้ที่สูญเสียที่ทำกินอย่างเดียวจะไม่ได้รับการจัดสรรที่ดิน

พื้นที่นิคมสร้างตนเองลำโดมน้อยในขณะนั้นคือพื้นที่ลาดชัน ดินเป็นหินลูกรัง หินดาน มีทรายและทุรกันดาร ไม่เหมาะสมกับการทำการเกษตร ทำให้ชาวบ้านที่ถูกอพยพมาหลายรายยอมทิ้งที่ดินที่ได้รับการจัดสรรไปหาที่ทำกินใหม่ เช่น บริเวณผัง 16 เมื่อจัดสรรแล้วไม่มีใครใช้ประโยชน์

แม้ว่าทางราชการได้ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ แต่เนื่องจากความไม่ต่อเนื่องและการไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางการพัฒนาของชาวบ้าน รวมถึงสภาพพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ทำให้การส่งเสริมล้มเหลว เช่น โครงการเลี้ยงไหม ที่แทนที่จะช่วยเหลือกลับสร้างหนี้สินให้ชาวบ้าน

การจ่ายค่าทดแทน

การสร้างเขื่อนสิรินธรทำให้น้ำท่วมที่ดินจำนวน 182,500 ไร่ สำนักงานพลังงานแห่งชาติสำรวจและเตรียมจ่ายค่าทดแทนที่ดินแก่ชาวบ้านจำนวน 2,850 แปลง คิดเป็นที่ดิน 39,800 ไร่ แต่ในความเป็นจริงจ่ายค่าทดแทนเพียง 2,816 แปลง คิดเป็นที่ดิน 39,626 ไร่ จำนวนรายการที่จ่าย 4,187 รายการ คิดเป็นเงิน 17,138,309.50 บาท ขณะที่ค่าทดแทนที่ตั้งใจว่าจะจ่ายคือ 20,343,337 บาท

อย่างไรก็ตาม การจ่ายค่าทดแทนจ่ายเฉพาะที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งในขณะนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีเอกสารสิทธิ์หรือมีเพียงบางส่วน ทำให้การจ่ายค่าชดเชยไม่ครอบคลุมผู้เสียหายทั้งหมด

การกำหนดราคาค่าทดแทนที่ดินอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ถ้าเทียบกับการซื้อขายจริงในท้องถิ่นขณะนั้น และชาวบ้านไม่ได้มีส่วนร่วม โดยการจ่ายค่าทดแทนกำหนดราคาไว้ตั้งแต่ไร่ละ 150 – 400 บาท และไม่ได้คำนึงถึงว่าชาวบ้านจะหาซื้อที่ดินผืนใหม่ได้หรือไม่

กล่าวโดยสรุปคือ การชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนนั้น จำนวนหนึ่งได้รับการชดเชยที่ไม่เพียงพอต่อความเสียหายที่ได้รับ ขณะที่อีกจำนวนหนึ่งยังไม่ได้รับการชดเชยใด ๆ เลย

ทุกข์ซ้ำซ้อน

การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบที่ผ่านมา ชาวบ้านไม่สามารถฟื้นฟูวิถีชีวิตเดิม เนื่องจากที่ดินที่ทางราชการจัดให้มีสภาพไม่เหมาะสมกับการทำการเกษตร ประกอบกับสภาพแวดล้อมที่ชาวบ้านเคยใช้ชีวิตอยู่ริมฝั่งลำโดมน้อย ที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของชาวบ้าน แต่เมื่อถูกอพยพมาอยู่บนที่สูงลาดชันและกันดารไม่มีทรัพยากรที่เป็นพื้นฐานในการยังชีพ ยิ่งทำให้ความเดือดร้อนถมทวีขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงต้องส่งลูกหลานเข้าไปทำงานในเมือง และอาศัยเงินที่ลูกหลานส่งมาเป็นรายได้หลักในการเลี้ยงครอบครัว ชาวบ้านหลายครอบครัวตัดสินใจเลือกการตัดไม้ใต้อ่างเก็บน้ำเขื่อนสิรินธรเป็นอาชีพในการเลี้ยงครอบครัว ซึ่งทำให้หลายคนพิการและสูญเสียชีวิต แต่ชาวบ้านก็ยอมเสี่ยงเนื่องจากไม่มีทางเลือก แต่การทำไม้ใต้อ่างเก็บน้ำเขื่อนสิรินธรก็ไม่สามารถทำได้นานนัก เมื่อองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ให้สัมปทานกับเอกชนเมื่อปี พ.ศ. 2536

ส่วนอาชีพประมงที่ทางราชการเคยให้ความหวังว่าจะเป็นอาชีพใหม่ของชาวบ้านนั้น หลังจากการสร้างเขื่อนสิรินธร ปลาเศรษฐกิจที่เคยมี เช่น ปลาเคิง ปลาแข้ ปลาคัง ปลาเทโพ หายไป เหลือแต่ปลานิล ปลาตะเพียน และปลาแก้ว ซึ่งเป็นปลาราคาต่ำ ชาวบ้านไม่นิยมบริโภคมากนัก เมื่อเทียบกับปลาธรรมชาติที่เคยมีอยู่เดิม อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านยังทำการประมงในอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิรินธร เพราะเป็นแหล่งทรัพยากรสุดท้ายที่ยังชีพได้ แต่เนื่องจากกฎหมายประมงห้ามจับปลาในฤดูวางไข่ตั้งแต่ 15 พ.ค. – 15 ส.ค. ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านอดยากมากที่สุด หลายคนยอมละเมิดกฎหมายและถูกจับดำเนินคดี แต่ก็เลือกที่จะเสี่ยง

ปัจจุบันชาวบ้านยังต้องเผชิญชะตากรรมโดยไร้การเหลียวแล รัฐบาลยังคงไม่รับรู้ความเดือดร้อน และอ้างว่าจะเป็นการจ่ายชดเชยซ้ำซ้อนย้อนหลัง ทำให้ชาวบ้านหลายส่วนต้องกลายเป็นชุมชนเก็บขยะ เช่น บ้านบากชุม อำเภอสิรินธร ซึ่งสูญเสียที่ดินทำกิน ชาวบ้านจำนวนมากพากันอพยพเข้ากรุงเทพฯ หารายได้ด้วยการคุ้ยเก็บขยะอยู่แถบหนองแขม

นี่หรือคือชีวิตชาวบ้านที่ดีกว่าเดิมในความหมายของการพัฒนาที่รัฐส่งมอบมาให้ประชาชน

ตารางเปรียบเทียบข้อเรียกร้องของชาวบ้าน มติคณะกรรมการกลาง ๖ ก.ค.๔๓ มติ ครม. ๒๕ ก.ค.๔๓ และข้อคิดเห็นสมัชชาคนจนต่อมติ ครม.

ข้อเรียกร้องของชาวบ้าน

มติคณะกรรมการกลางฯ

มติคณะรัฐมนตรี

ข้อคิดเห็นสมัชชาคนจน

1. ให้รัฐจัดหาที่ดินทำกินที่อุดมสมบูรณ์ให้ครอบครัวละ 15 ไร่

คณะกรรมการกลางเห็นว่าความเดือดร้อนของชาวบ้านมีความจริง โดยได้ดำเนินการผ่านหลายรัฐบาลจนถึงขั้นมีการจัดหาวงเงิน 1,200 ล้านบาท แต่การจ่ายเงินยุติลงเมื่อมีมติคณะรัฐมนตรี 21 เมษายน 2541 ไม่ให้จ่ายค่าชดเชยซ้ำซ้อนย้อนหลัง

ครม.ประชุมพิจารณาเรื่องมติคณะกรรมการกลางแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจนกรณีเขื่อนสิรินธร มีมติ “ไม่เห็นชอบ เนื่องจากการจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนสิรินธรครบถ้วนแล้ว ประกอบกับคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2541 ไม่ให้จ่ายค่าทดแทนหรือค่าชดเชยซ้ำซ้อนย้อนหลังสำหรับเขื่อนที่สร้างเสร็จแล้ว”

1) เพื่อเป็นการช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้แก่ชาวบ้านเป็นการเฉพาะกรณี โดยไม่ให้มีผลผูกพันกรณีอื่นๆ

2. ให้กฟผ.คืนที่ดินบ้านโนนจันทร์เก่าให้กับชาวบ้าน และให้รัฐดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์ให้กับชาวบ้าน

ควรมีมาตรการสืบสวนข้อเท็จจริง หากพบว่ายังคงมีความเดือดร้อนจริง เพราะการชดเชยที่ไม่เป็นธรรมในอดีต ต้องพิจารณาการช่วยเหลือ โดยยึดถือหลักการว่าผู้ได้รับผลกระทบต้องมีวิถีชีวิตที่ดีกว่าเดิม

เห็นชอบให้จังหวัดเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงในการใช้ประโยชน์ในพื้นที่บ้านโนนจันทร์เก่า หากเห็นว่าไม่ได้ใช้ประโยชน์จริง ก็ให้กฟผ.ดำเนินการเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวคืนแก่เจ้าของที่ดินเดิมตามกฎหมาย

2) กรณีบ้านโนนจันทร์เก่าควรดำเนินการตรวจสอบการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ หากไม่ได้มีการใช้ประโยชน์ในกิจการของกฟผ. ให้คืนแก่ชาวบ้านตามมาตรา 49 วรรคท้ายของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง