กลุ่มพิทักษ์น้ำยมร่อนแถลงการณ์ถล่ม“หมัก” - ชี้เป็นนายกฯนรกของ สวล.

fas fa-pencil-alt

ผู้จัดการออนไลน์

fas fa-calendar

7 มิถุนายน 2551

ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – เครือข่ายพิทักษ์แม่น้ำยมร่อนแถลงการตอก “หมัก” ชี้ “สมัคร นายกฯนรก สำหรับสิ่งแวดล้อม” ตอบโต้นายกฯ ผุดนโยบายปลุกผีเขื่อนแก่งเสือเต้น ทั้งที่มีสารพัดผลการศึกษาทางวิชาการที่คัดค้าน ทั้งเสนอทางแก้ปัญหาน้ำท่วม-แล้งไว้เสร็จสรรพกลับไม่สนใจ มุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการยักษ์เป็นหลัก พร้อมตีพิมพ์คำสาปแช่งแสบสันต์ “ไผกึ๊ดสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น จงฉิบหายวายวอด เจ็ดชั่วโคตร” 


 วันนี้ (7 มิ.ย.51) เครือข่ายพิทักษ์แม่น้ำยม ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้แนวคิดของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการฟื้นโครงการก่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เมื่อคราวเดินทางไปเป็นประธานเปิดงานวันสิ่งแวดล้อมโลก มีเนื้อหาโดยสรุปว่า 


 วันสิ่งแวดล้อมโลก เป็นวันที่ทั่วโลกร่วมกันรณรงค์ให้คนตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมทั่วทั้งโลก ทั้งเรื่องภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟป่า รวมทั้งปัญหาโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้น แต่เป็นที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ประเทศไทยมีนายกฯที่มีแนวคิดสวนทางกับการรักษาสิ่งแวดล้อม อาทิ สนับสนุนให้ใช้กระธงโฟม แทนกระธงธรรมชาติ ให้ใช้ถุงพลาสติกแทนการใช้กระเป๋าผ้า อีกทั้งยังไม่มีวิศัยทรรศน์ด้านสิ่งแวดล้อม ไม่มีแนวคิดในการรักษาป่าทั้งที่ป่าไม้เมืองไทยเหลือไม่ถึง 20 เปอเซ็นต์แล้ว 


 ในทางกลับกันกลับแสดงภูมิปัญญาอันน้อยนิดด้วยการเสนอให้ทำลายป่าสักทองธรรมชาติกว่า 50,000 ไร่ เพื่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น โดยอ้างว่าไม่มีป่าสักทองแล้ว ทั้งที่ยังไม่เคยลงไปดูพื้นที่ป่าสักทองแม้แต่ครั้งเดียว กลับใช้ข้อมูลที่ได้รับจากทางราชการว่าไม่มีป่าแล้ว แถมยังถากถางว่ามีนกยูงเพียง 3 ตัว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทรรศนะที่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง 


 ทั้งที่ตลอดระยะที่ผ่านมาชาวบ้าน นักวิชาการ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นักศึกษา ศิลปิน รวมทั้งประชาชนผู้รักความเป็นธรรม ได้คัดค้านโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น มากว่า 20 ปี เนื่องจากว่าทุกรัฐบาล ได้ผลักดันโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น โดยอ้างว่า จะสามารถแก้ไขปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วมได้ แม้จะมีผลการศึกษาจากหลายหน่วยงานได้ข้อสรุปแล้วว่า โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วมได้ อาทิ 


 1.ผลการศึกษาของ องค์การอาหารและการเกษตรโลก (FAO.) ด้วยเหตุผลเรื่องการป้องกันน้ำท่วม เขื่อนแก่งเสือเต้น สามารถ เยียวยาปัญหาน้ำท่วมได้ เพียง 8 เปอร์เซ็นต์ 


 2.ผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา ประเทศไทย (TDRI.) ด้วยเหตุผลทาง เศรษฐศาสตร์ ได้ข้อสรุปว่า เขื่อนแก่งเสือเต้นไม่คุ้มทุน 


 3.ผลการศึกษาของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ด้วยเหตุผลทางนิเวศวิทยา ที่มีข้อสรุปว่าหากสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นจะกระทบต่อระบบนิเวศน์ของอุทยานแห่งชาติแม่ยมเป็นอย่างมาก หากเก็บผืนป่าที่จะถูกน้ำท่วมไว้จะมีมูลค่าต่อระบบนิเวศน์ และชุมชนอย่างมาก 


 4.การศึกษาของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเหตุผลทางด้าน ป่าไม้ สัตว์ป่า ที่มีข้อสรุปว่า พื้นที่ที่จะสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เป็นทั้งอุทยานแห่งชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นแหล่งป่าสักทองธรรมชาติ ผืนเดียวที่เหลืออยู่ ดังนั้น ควรเก็บรักษาไว้ เพื่ออนาคตของประชาชนไทยทั้งประเทศ 


 5.ผลการศึกษาของมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ด้วยเหตุผลในการจัดการน้ำ ยังมีทางออก และทางเลือกอื่น ๆ อีกหลายวิธีการ ที่แก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น 


 6.ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เสนอ 19 แผนงานการจัดการน้ำแบบบูรณาการ ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาทั้งน้ำแล้ง น้ำท่วม ได้อย่างเป็นระบบทั้งลุ่มน้ำยม โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น 


 7.ผลการศึกษาของกรมทรัพยากรธรณี ได้ชี้ชักว่า บริเวณที่จะสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น ตั้งอยู่แนวรอยเลื่อนของเปลือกโลก คือ รอยเลื่อนแพร่ ซึ่งยังมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นการเสี่ยงอย่างมากที่จะสร้างเขื่อนใกล้กับรอยเลื่อนของเปลือกโลก เสมือนหนึ่งเป็นการวางระเบิดบนหลังคาบ้านของคนเมืองแพร่ 


 8.ผลการศึกษาของโครงการพัฒนายุทธศาสตร์ทางเลือกนโยบายการจัดการลุ่มน้ำยม (SEA) ชี้ให้เห็นว่ามีทางเลือกมากมายในการจัดการน้ำ ในลุ่มน้ำยม โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เช่น การทำทางเบี่ยงน้ำเลี่ยงเมือง การทำแก้มลิง การพัฒนาอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก เป็นต้น 


 9.ผลการศึกษาของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของสิทธิชุมชน สิทธิในการมีส่วนร่วมในการพัฒนา สิทธิทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งรัฐไม่สามารถละเมิดได้ และได้เสนอให้รัฐบาลยกเลิกโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้นอย่างเด็ดขาด เพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชน 


 ขณะเดียวกันเครือข่ายพิทักษ์แม่น้ำยม ยังได้นำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหา ภัยแล้ง น้ำท่วม ลุ่มน้ำยม โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น ด้วยการจัดการน้ำแบบบูรณาการลุ่มน้ำยมทั้งระบบ ที่กรมทรัพยากรน้ำกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ศึกษาแล้วสรุปออกมาว่า ไม่จำเป็นต้องสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น ก็สามารถบริหารจัดการน้ำได้ ซึ่งในแผนนี้ใช้งบประมาณน้อยกว่าโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น แต่ระบบราชการไทย ถือประเพณีไม่ขัดขวางผลประโยชน์ของหน่วยงานราชการด้วยกัน แผนการจัดการลุ่มน้ำยมทั้งระบบ จึงไม่ได้ดำเนินการให้เป็นจริง 


 โดยแนวทางดังกล่าวประกอบด้วย 


 1.การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ การฟื้นฟูป่าไม้ การอนุรักษ์ป่า การปลูกป่าเสริม การปกป้อง พิทักษ์ รักษา และการจัดการป่า โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม ฟื้นฟูเสถียรภาพของระบบนิเวศน์ ให้กลับคืนมาสู่สมดุล อย่างยั่งยืน 


 2.การขุดลอกตะกอนแม่น้ำ สามารถฟื้นฟูแม่น้ำให้กลับมาทำหน้าที่แม่น้ำตามธรรมชาติได้ ทำทางเบี่ยงน้ำเพื่อระบายออกนอกเขตชุมชน การสร้างเครือข่ายทางน้ำเพื่อกระจายน้ำไปยังนอกเขตชุมชน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว แต่บางจังหวัด ยังติดขัดเรื่องงบประมาณในการดำเนินการ เพราะ ส.ส.ในพื้นที่นั้นๆ ไม่มีศักยภาพในการดึงงบประมาณมาดำเนินการ ทำให้ยังไม่สมบูรณ์พอที่จะสามารถแก้ไขปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วมได้ เพราะโครงการต่างๆ ยังไม่ครบตามแผนที่วางไว้ทั้งระบบ 


 3.การฟื้นฟูที่ราบลุ่มแม่น้ำยม การขุดลอกคูคลองที่เชื่อมระหว่างแม่น้ำกับห้วยหนองคลองบึง การยกถนนให้สูงขึ้น หรือเจาะถนนไม่ให้กีดขวางทางน้ำ การสร้างบ้านเรือนให้อย่างน้อยชั้นล่างสุดต้องสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุด 


 4.การแนะนำให้เกษตรกรการปลูกพืชอายุสั้น พันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ การกำหนดให้เป็นเขตเสี่ยงภัยจากน้ำท่วม การหยุดยั้งการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ขวางทางน้ำในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำยม 


 5.การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้เหมาะสม เช่น เป็นที่ท่องเที่ยว เป็นแหล่งประมง เขตอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งสามารถป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ทางตอนล่างลงมาตลอดจนถึงกรุงเทพฯ ได้ เนื่องจากที่ราบลุ่มแม่น้ำยมเป็นที่พักน้ำ ที่สามารถพักน้ำไม่ให้ไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมกันถึง 500-1,500 ล้านลูกบาศก์เมตร มากกว่าความจุของโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้นอีก 


 6.การซ่อมบำรุง ปรับปรุงระบบชลประทานที่มีอยู่แล้ว ปัจจุบันลุ่มแม่น้ำยมมีระบบชลประทานขนาดใหญ่ และขนาดกลาง 24 แห่ง ขนาดเล็ก 220 แห่ง บ่อน้ำตื้น 240 บ่อ และระบบสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้าของกรมพัฒนา และส่งเสริมพลังงาน 26 แห่ง รวมพื้นที่ชลประทาน 1,117,465 ไร่ ระบบชลประทานเหล่านี้ล้วนแต่มีประสิทธิภาพต่ำ การจัดการโดยการซ่อมบำรุงระบบชลประทานที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพ การให้ความรู้แก่ผู้ใช้น้ำจะสามารถทำให้เหลือน้ำจำนวนมาก เฉพาะระบบของกรมชลประทานถ้าใช้ระบบ DSM จะเหลือน้ำถึง 101 ล้านลูกบาศก์เมตร เทียบเท่ากับปริมาณในการอุปโภคบริโภคของคนในลุ่มแม่น้ำยมถึง 


7.6 ล้านคน 7.การแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในลุ่มแม่น้ำยม สามารถดำเนินการได้โดยการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กตามที่มีรายละเอียดในแผนการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก ซึ่งจัดทำโดย กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย แผนดังกล่าวสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำได้โดยใช้งบประมาณเฉลี่ยแล้วหมู่บ้านละประมาณ 3 ล้านบาทเท่านั้น 


 8.การขาดแคลนน้ำในเมืองใหญ่ ๆ โดยเฉพาะในฤดูแล้งที่ความต้องการน้ำมีสูง ไม่ได้เกิดจาก การขาดน้ำดิบเท่านั้น แต่เกิดจากระบบการผลิตน้ำประปาของการประปาภูมิภาคไม่เพียงพอ เช่น เมืองสุโขทัยขาดแคลนน้ำประปาในฤดูแล้ง เพราะระบบการผลิตน้ำประปาผลิตน้ำเพียง 60 % ของความต้องการสูงสุดในฤดูแล้ง การขยายระบบการผลิตน้ำประปาจะสามารถช่วยในการขาดแคลนน้ำอุปโภค–บริโภค ในเมืองใหญ่ได้ แต่การรณรงค์ให้มีการประหยัดน้ำในฤดูแล้งก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น 


 ขณะที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก เสนอโครงการแก้ไขปัญหาภัยน้ำท่วมแบบเบ็ดเสร็จ 19 แบบ คือ 


 1.ปลูกป่าป้องกันน้ำท่วม 


 2.เกษตรแนวระดับป้องกันน้ำท่วม 


 3.อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตรของชุมชน 


 4.ป้องกันไฟและแนวซับน้ำ 5.พื้นที่กักเก็บน้ำเพื่อป้องกันภัยน้ำท่วมบนที่สูง 


 6.คลองเฉลิมพระเกียรติป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน 7.ชลประทานแนวระดับป้องกันน้ำท่วม 


 8.ศูนย์อพยพเพื่อบรรเทาภัยน้ำท่วมหมู่บ้าน 


 9.ตุ่มน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม 


 10.ถนนเฉลิมพระเกียรติป้องกันน้ำท่วม 


 11.สะพานและทางระบายน้ำเฉลิมพระเกียรติ 


 12.อ่างเก็บน้ำหน้าเมืองเพื่อป้องกันน้ำท่วม 


 13.แนวคันดินป้องกันเมืองเพื่อป้องกันน้ำท่วม 


 14.พื้นที่กักเก็บน้ำชั่วคราวป้องกันน้ำท่วม 


 15.ฝายพิเศษป้องภัยน้ำท่วม 


 16.ระบบเตือนภัยธรรมชาติสู่ภูมิภาค 


 17.โครงการศึกษาเพื่อการป้องภัยธรรมชาติ 


 18.ความร่วมมือกองทัพบกในการขุดคลอง คู อ่างเก็บน้ำ แนวคันดิน 


 19.ความร่วมมือตำรวจตระเวนชายแดน ให้ความรู้แก่ประชาชน 


 แถลงการณ์เครือข่ายพิทักษ์แม่น้ำยม ยังย้ำในตอนท้ายอีกว่า ยุคสมัยของการหากินกับโครงการขนาดใหญ่ได้สิ้นสุดลงแล้ว เราไม่มีป่าธรรมชาติมากพอที่จะให้ทำลายอีกต่อไป รัฐบาลใดที่เข้ามาบริหารชาติบ้านเมือง ต้องหยุดทำลายป่า หยุดทำลายชุมชน หยุดอ้างเพื่อประชาชน หยุดผลาญเงินประเทศชาติ หยุดหากินกับโครงการขนาดใหญ่ หยุดเขื่อนแก่งเสือเต้น 


 พร้อมกับสาปแช่งไว้ว่า “ไผกึ๊ดสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น จงฉิบหายวายวอด เจ็ดชั่วโคตร”

อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9510000066635

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง