2.ผลกระทบของโครงการ
คะเจ้าปล่อยน้ำแล้ว
น้ำขุ่น บ่ได้กินปลา
(
หญิงชาวประมงจากหมู่บ้านสองห้อง
ที่ทำการประมงในแม่น้ำหินบูน,
มีนาคม พ.ศ. 2541)
เพื่อประเมินผลกระทบที่ชาวบ้านกำลังประสบจากโครงการ
ผู้ทำการศึกษาได้ไปทำการศึกษาใน
พื้นที่ที่ได้รับผล
กระทบระหว่างวันที่ 2 - 4
มีนาคม พ.ศ. 2541 เป็นเวลา 3 วัน
ภายหลังที่มีการปิดเขื่อน 2
เดือน
ขณะทำการสัมภาษณ์ซึ่งเป็น
ภาษาลาวนั้นไม่มีเจ้าหน้าที่ของโครงการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าร่วม
ด้วย
การศึกษาครั้งนี้ได้ทำการศึกษาทั้งหมด
10 หมู่บ้าน ใน 3
พื้นที่ต่างกัน คือ 1.พื้นที่อ่างเก็บน้ำ
2.พื้นที่
ลุ่มแม่น้ำเทินตอนล่าง (กะดิ่ง)
และ 3.พื้นที่บริเวณแม่น้ำไฮและหินบูนตอน
ล่าง (โปรดดูแผนที่)
การศึกษา
ได้ทำการสัมภาษณ์ชาวบ้านจำนวน
60 คนใน 17 กลุ่ม
โดยประกอบด้วยชาวบ้านหลายกลุ่มทั้ง
ผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก
เจ้าของแผงขายปลา
เจ้าของร้านค้า ชาวประมง
หัวหน้าหมู่บ้าน คนขับเรือ
และอื่นๆ
จากผลสรุปของการสัมภาษณ์ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโครงการเขื่อนเทินหินบูนได้ก่อให้เกิดความ
เสียหาย
ต่อการดำเนินชีวิตของชาวบ้านจำนวนมากในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเทินและหินบูน
ชาวบ้านในทั้ง 3
พื้นที่ศึกษาได้กล่าวเป็นเสียงเดียว
กันถึงการลดลงอย่างมากในปริมาณปลาที่จับได้ซึ่งลดลงเฉลี่ยโดยประมาณ
30 - 90 %
และพวกเขายังได้กล่าวถึงการสูญเสีย
พื้นที่เพาะปลูกริมฝั่งแม่น้ำ
การสูญเสียแหล่งน้ำดื่มในฤดูแล้ง
ปัญหาการคมนาคม
และในบางพื้นที่ชาวบ้านต้องอพยพบ้าน
เรือนโดยไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาได้รับการช่วย
เหลืออย่างเพียงพอ
พื้นที่ลุ่มแม่น้ำเทินตอนล่าง
(กะดิ่ง)
แม่น้ำเทินช่วงที่ไหลจากบริเวณตัวเขื่อนไปจนถึงแม่น้ำโขงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าแม่น้ำกะดิ่ง
ไหล ผ่านพื้นที่
อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติน้ำกระดิ่ง
( Nam Kading National Biodiversity Con- servation Area, NBCA )
เป็นระยะทางประมาณ 40
กิโลเมตร
และหมู่บ้านมากมายตลอดลำน้ำซึ่งพึ่งพาการ
จับปลาเป็นอาหารและรายได้หลักของ
ครอบครัว
ผู้ดำเนินโครงการได้พิจารณาให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่
นอกเขตผลกระทบโดยตรง
แต่ในความเป็นจริงแล้วหมู่บ้าน
ตลอดลำน้ำกะดิ่งจนบรรจบแม่น้ำโขงกำลังได้
รับผลกระทบจากการปิดเขื่อน
ในพื้นที่จากช่วงระหว่างพื้นที่อนุรักษ์ความหลาก
หลายทางชีวภาพแห่งชาติ
น้ำกะดิ่ง (NBCA)
ลงไปถึงจุดที่บรรจบกับแม่น้ำโขงนี้มีทั้งหมด
3
หมู่บ้านที่ได้ลงไปทำการศึกษา
หมู่บ้านปากกะดิ่ง (Ban Pak Kading)
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นชุมชนที่เป็นตลาดใหญ่ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำ
กะดิ่งบนถนน หมายเลขที่ 13
ในจังหวัดบอริคำไซ
ที่นี่มีตลาดและร้านค้าอยู่มากซึ่งรับซื้อปลาจากชาวประมง
จากแม่น้ำกะดิ่งไปขายในร้าน
อาหาร
หรือส่งไปขายที่เวียงจันท์
เจ้าของร้านค้าหลายคนได้ยืนยันว่าปลาที่จับ
ได้จากแม่น้ำกะดิ่งได้ลดลงอย่างรวดเร็วหลัง
จากที่ปิดเขื่อนมา
ข่อยซื่อปลาโดยตรงจากชาวบ้าน
พวกเขาจะข้ามสะพานมาขายทุกเช้า
หน้าแล้งปีนี้มีปลาน้อยมาก
ทำให้พวกเขา
ไม่ได้มาขายเลยตั้งแต่ปิดเขื่อน
ข่อยคิดว่าปลาแม่น้ำกะดิ่งที่ขายอยู่ในตลาดตอนนี้ลดลงไปประ-
มาณ 70 % เมื่อเทียบกับปีที่
แล้วในฤดูนี้
เจ้าของร้านอาหาร
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2541
ที่บ้านปากกระดิ่ง
หมู่บ้านโพเซ (Ban Phosay)
หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่บนถนนหมายเลขที่
13
ห่างไปทางใต้จากหมู่บ้านปาก
กะดิ่ง อยู่บนฝั่ง
ด้านซ้ายของแม่น้ำกะดิ่ง
หลายกิโลเมตรเหนือลำน้ำขึ้นไปจากปากกะดิ่ง
ผู้ศึกษาได้สัมภาษณ์
ชาวประมง 2 คนและชาวบ้านอีก 3
คนซึ่งมาซื้อขายปลาในตลาดเล็กๆแห่งหนึ่ง
พวกเขาต่างเห็น
ด้วยว่าปริมาณปลาที่จับได้ลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากการปิดเขื่อน
และการผันน้ำออกจากแม่น้ำกะดิ่ง
นอก
จากนี้ชาวบ้านในตลาดยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่ามีอีก
2
หมู่บ้านซึ่งไม่ได้เข้าไปศึกษาก็
กำลังได้รับความเดือด
ร้อนจากการลดลงของปลาอยู่เช่นเดียวกัน
แต่ก่อนเราจับปลาได้อย่างพอกินและพอขาย
ปลาจากแม่น้ำกระดิ่งส่วนมากจะถูกขายไปที่เวียงจันท์เพราะมันมีรส
ชาติ
ดีกว่าปลาจากแม่น้ำงึม
เดี๋ยวนี้เราจับปลาได้แค่พอกินแต่ไม่พอที่จะขายในตลาด
ปัญหาอย่างหนึ่งคือคนหาปลามันมากขึ้น
ปลาก็เลยจับได้น้อยลง
แต่เมื่อหลังปิดเขื่อนมานี้ยิ่งแย่หนักไปกว่า
เก่า ชาวประมงคนหนึ่งในตลาดที่หมู่บ้านโพเซ
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2541
คนในบ้านหาดทรายคำ
บ้านโพงาม บ้านปากซม
และบ้านโพเซ
ทั้งหมดต่างต้องพึ่งการหาปลาจาก
แม่น้ำกระดิ่งทั้ง นั้น
แต่ในขณะนี้ทุกหมู่บ้านกำลังเจอกับปัญหาเดียวกันคือปลามันหายากขึ้น
มันลดลงไป ประมาณ 50 - 70 % หญิงชาวบ้าน
ที่มาขายปลาที่ตลาดในหมู่บ้านในหมู่บ้านโพเซ
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2541
หมู่บ้านโพงาม( Ban Phongam )
หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำกระดิ่งไม่ไกลจากถนนหมายเลขที่
13 เหนือลำน้ำขึ้น
ไปจากหมู่บ้านโพเซเพียงไม่กี่กิโลเมตร
จากรายงานขององค์กร FIVAS
ได้บันทึกไว้ว่า การ
ประมงมีความสำคัญต่อชาวบ้าน
ที่นี่เป็นอย่างมาก
เนื่องจากชาวบ้านกินปลาเป็นอาหารหลักเกือบทุกวัน
และ
มีรายได้หลักจากการขายปลา
โดยเฉลี่ยแล้วพวก
เขาจะจับปลาได้ประมาณวันละ
1 กิโลกรัม และในบางวัน
ช่วงฤดูหาปลา (
ช่วงฤดูปลาอพยพ )สามารถจับได้ถึงวันละ
20 - 30 กิโลกรัม [1]
ในเดือนมีนาคม พ.ศ.2541
ชาวบ้าน 6
คนได้บอกว่าหลังจากที่ได้มีการปิดเขื่อนปริมาณการจับปลา
เฉลี่ยในปัจจุบัน
ลดลงอย่างน้อย 50 % จากที่เคยจับได้ในแต่ละปีในฤดูเดียวกันนี้ซึ่งทำให้กระทบต่ออาหาร
และรายได้ของพวกเขา
ตั้งแต่ปิดเขื่อนมาปีนี้น้ำในแม่น้ำลดลงต่ำสุดเท่าที่เคยเห็นมาในฤดูนี้
ปลาที่เคยอยู่ในแม่น้ำมันหนี
ลงโขงไปหมด แล้ว ของชาวบ้านหมู่บ้านโพงาม
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2541
พวกข้าราชการผู้ใหญ่เขาเคยลงมาดูพวกเรา
และบอกกับพวกเราว่าเขาจะลดระดับน้ำลงและมันจะ
ได้ทำให้เรามี
สวนปลูกผักที่ฝั่งน้ำ
มันจริงอยู่ที่ว่าเราสามารถทำสวนในหน้าแล้งบนริมฝั่งแม่น้ำง่ายขึ้นกว่า
ก่อน
แต่ว่าปลาสำคัญกับพวกเรา
มากกว่าการทำสวนพวกเราหาปลาที่นี่ตลอดทั้งปี
อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้าน
โพงาม เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.
2541
ปัญหาอีกอย่างคือการเดินทางทางเรือ
ที่นี่เราใช้แม่น้ำเป็นหลักในการเดินทาง
แต่เมื่อน้ำใน
แม่น้ำลดต่ำลงปัญหาก็มี
ขึ้น
เรามีสวนผลไม้ทั้งที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามโน้นและเหนือลำน้ำนี้ขึ้นไป
เราต้องใช้เรือ
ตลอดในการบรรทุกพวกผลไม้ลงไปยัง
หมู่บ้าน
เช่น พวกแตงโม
แต่เดี๋ยวนี้เรือเราวิ่งไม่ได้เพราะน้ำมันตื้น
เดี๋ยวนี้เราก็เลยอยากได้ถนน
ชาวบ้านหมู่บ้านโพงาม
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2541
|