3.มาตราการการลดปัญหาผลกระทบและการจ่ายค่าชดเชย
โครงการไม่เคยมองดูปัญหาให้ลึกถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นพวกเขาแค่ลงมาดูและพูดไม่กี่คำว่าจะ
เกิดอะไรขึ้นและก็เงียบ
หายไป
พวกเขาไม่เคยสนใจในปัญหาของเรา
แม้แต่เรื่องการจ่ายค่าชดเชยพวกเขาก็
ไม่เคยพูดสักคำ
ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านสบเงิงเมื่อ
วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2541
ประชาชนลาวหลายพันคนซึ่งกำลังได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโครงการเขื่อนเทินหินบูนยังไม่ได้รับการ
จ่าย
ค่าชดเชยกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น
และก็ไม่มีแผนงานใดๆที่จะมารองรับพวกเขาเลย
ในอนาคต เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.
2537 รัฐบาล
ลาวซึ่งดำเนินงานตามคำให้การปรึกษาของธนาคารเพื่อการ
พัฒนาเอเชีย(ADB)ได้เซ็นสัญญาข้อตกลงกับบริษัทเทินหินบูนเพาเวอร์
(THPC)
ซึ่งได้กำหนดให้บริษัทมี
หน้าที่รับผิดชอบในการชดเชยและการแก้ไขปัญหาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเป็นจำนวนเงิน
1 ล้าน เหรียญ สหรัฐ
ซึ่งตัวเลขนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานขั้นต่ำสุดของการสูญเสียทางสิ่งแวดล้อม
ดังที่ได้ระบุไว้ในรายงานการ
ศึกษาผลกระทบ
ทางสิ่งแวดล้อม ( EIA )
ของบริษัทNorpower/Norconsult
ซึ่งเป็นรายงานการศึกษาที่ขาด
ความน่าเชื่อถือ
ในปีพ.ศ. 2539
หนึ่งปีครึ่งหลังจากที่ได้เริ่มมีการสร้างเขื่อน
รายงานการศึกษาทางสิ่งแวดล้อมฉบับ
ใหม่ซึ่งจัดทำโดยองค์กร
กองทุน NORAD
ได้เปิดเผยว่าค่าการชดเชยความสูญเสียทางสิ่งแวดล้อมจะมากกว่า
ที่คาดไว้ในตอนแรก
ซึ่งได้ทำให้ผู้สังเกตการณ์
จำนวนมากได้ตั้งคำถามกับการขาดแคลนเงินทุนในมาตรการ
การแก้ปัญหาดังกล่าว
เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2539
บริษัทได้เซ็นสัญญา
ข้อตกลงเพิ่มเติมกับรัฐบาลเพื่อให้มี
การเพิ่มงบประมาณการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจาก
1 ล้านเป็น 2.59
ล้านเหรียญสหรัฐ และบริษัท
เทินหิน- บูนเพาเวอร์(THPC)
ยังได้ตกลงที่จะปล่อยน้ำออกจากเขื่อนจำนวน
5
ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเป็นอย่างต่ำ
และการชะตะกอน
ออกจากเขื่อน
ข้อตกลงนี้เป็นการทำให้บริษัทเทินหินบูนเพาเวอร์(THPC)
พ้นภาระรับผิด
ชอบต่อการแก้ปัญหาผลกระทบและการ
จ่ายค่าชดเชยที่จะเกิด
ขึ้นอีกตลอดอายุของโครงการ
ภายในจำนวนต้นทุนของโครงการทั้งหมด
260
ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งรวมถึงงบประมาณโครงการลด
ปัญหาผลกระทบและ
การจ่ายค่าชดเชยจำนวน 2.59
ล้านเหรียญสหรัฐด้วย
แต่มีเพียงจำนวน 50,000 เหรียญ
สหรัฐเท่านั้นที่ถูกจัดสรรไปเพื่อการอพยพ
ชาวบ้านและการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ได้รับผลกระทบ
เงินงบประ
มาณการลดปัญหาผลกระทบจำนวน
1.6
ล้านเหรียญสหรัฐนี้ได้ถูก
แบ่งไปใช้ในการก่อสร้างบ่อพักน้ำที่ปลาย
คลองส่งน้ำเพื่อช่วยลดการพังทลายของดินในแม่น้ำไฮระหว่างช่วงน้ำไหลบ่าสูงสุด
ส่วน เงินอีกก้อนจำนวน 130,000
เหรียญสหรัฐถูกแบ่งใช้ในการออกแบบปรับปรุงเขื่อนเพื่อควบคุมระบบการไหลของน้ำไปยังท้าย
น้ำและ
ยังรวมไปถึงโครงการติดตามและประเมินผลจำนวน
300,000 เหรียญสหรัฐ งบประมาณการรื้อถอน
สิ่งกีดขวางในแม่น้ำไฮ 100,000
เหรียญสหรัฐ
การปรับปรุงคลองส่งน้ำจำนวน
50,000 เหรียญสหรัฐ การ
บำรุงรักษาสภาพน้ำและป้องกันการสะสมของของเสีย
100,000 เหรียญสหรัฐ
โครงการการประชาสัมพันธ์
ในพื้นที่จำนวน 15,000
เหรียญสหรัฐ
เงินงบประมาณเพื่อการศึกษาด้านการชล
ประทาน การประมง และการ
พัฒนาชนบทจำนวน 250,000
เหรียญโดยแผนงานการศึกษานี้บริษัทที่ปรึกษาจะได้เป็นผู้นำไปดำเนิน
งาน
โดยที่ยังไม่มีงบประมาณที่จะมารองรับการดำเนินงานตามแผนงานที่เสนอในการศึกษานี้เลย
งบประมาณเพื่อการสร้างบ่อพักน้ำและการปรับปรุงตัวเขื่อนเพื่อควบคุมการไหลของน้ำไปยังท้าย
น้ำ ซึ่งรวมแล้วเป็น
จำนวนถึง 67 %
ของงบประมาณทั้งหมดของโครงการลดผลกระทบจากเขื่อน
โดยความ
จริงแล้วงบประมาณส่วนนี้ควรที่จะได้ถูกรวม
อยู่ในส่วนหนึ่งของงบประมาณการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานตั้งแต่เริ่มต้น
โครงการมากกว่าที่จะนำมารวมอยู่ในงบประมาณของ
โครงการลดปัญหาผลกระทบนี้
ซึ่งใน
ประเทศต่างๆที่พัฒนาแล้วต่างก็ต้องปฏิบัติอย่างนั้นสำหรับโครงการในลักษณะนี้
งบประมาณ ส่วนใหญ่ถูก
จัดสรรไปเพื่อการศึกษาและการติดตามประเมินผล
แต่ข้อตกลงดังกล่าวแทบไม่ได้จัดการกับปัญหาในเรื่อง
การจ่ายค่า
ชดเชยความสูญเสียแก่ผู้ได้รับผลกระทบเลย
สำนักงานคณะกรรมการการจัดการสิ่งแวดล้อม
(Environmental Management Commit -tee Office,EMCO)
ตามข้อสัญญาเมื่อปี พ.ศ.
2539
ได้มีข้อตกลงให้มีการจัดตั้ง
สำนักงานคณะกรรมการการจัดการ
สิ่งแวดล้อม เพื่อจะควบ
คุมการดำเนินงานตามมาตรการลดผลกระทบและโครงการติดตามประเมินผล
สำนักงานนี้เป็นโครงสร้างส่วนหนึ่งของบริษัทเทิน
หินบูนเพาเวอร์ (THPC)
มีเจ้าหน้าที่ 3 คน
ซึ่งถูกย้ายตำ
แหน่งมาจากรัฐบาลลาว
โดยมาจากการไฟฟ้าแห่งประเทศลาว
( Electricite du Laos, EdL ) 1 คน และอีก 2
คนเป็นตัวแทนมาจากแต่ละจังหวัด
2 จังหวัด
ผู้อำนวยการสำนักงานคือช่างเทคนิคที่มาจากการไฟฟ้าแห่ง
ประเทศลาว (EdL) และหนึ่งใน 2
ตัวแทนนั้นดำรงตำแหน่งช่างไฟฟ้า
เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการการ
จัดการสิ่งแวดล้อม (EMCO)
และเจ้าหน้าที่บางคนของบริษัทเทินหินบูนเพาเวอร์(THPC)กล่าวว่าพวกเขาต้อง
การที่จะให้สำนักงานคณะกรรมการการ
จัดการสิ่งแวดล้อมขึ้นตรงต่อหน่วยงานของรัฐบาลลาว
เช่น สำนัก
งานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
( Science Tecnology and Environmental Office )
มากกว่าที่จะ
ขึ้นตรงกับบริษัทเทินหินบูนเพาเวอร์(THPC)
แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้กำหนดรูปแบบ
สำนักงาน คณะกรรมการ
การจัดการสิ่งแวดล้อม(EMCO)มีหน้าที่ในการรับผิดชอบต่อโครงการลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
ทั้งหมดและได้ดูแล
การก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ
การประชาสัมพันธ์โครงการ
และการติดตามประเมินผล
ซึ่งได้
รวมถึงการประเมินผลกระทบต่อการ
ประมงและการตรวจสอบคุณภาพน้ำ
และดูแลในเรื่องการศึกษาทาง
ด้านการพัฒนาชนบท
การชลประทาน
และการจัดการการประมง
การที่สำนักงานแห่งนี้มีเจ้าหน้าที่น้อยและ
ต้องขึ้นกับส่วนกลางและส่วนจังหวัดทำให้เป็นปัญหาในการทำงานของเจ้าหน้าที่สำนักงาน
ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการ
ตามรายงานของสำนักงานคณะกรรมการการจัดการสิ่งแวดล้อม
เงินเกือบทั้งหมดในจำนวน
50,000 เหรียญสหรัฐในการ
อพยพและการจ่ายค่าทดแทนได้ถูกใช้ไปในการจัดชื้อที่ดินในการวางเสาส่งไฟฟ้า
ใน
ขณะนี้ไม่มีการเจรจาการจ่ายค่าชดเชยเพิ่มเติม
สำหรับการสูญเสียที่ดินและทรัพยสินของชาวบ้านในลักษณะ
เป็นรายกรณีไป
เจ้าหน้าที่ของทางสำนักงานยังได้กล่าวว่ามันมีความจำ
เป็นที่ต้องมีการขยายเวลาการศึกษา
วิจัยมากกว่านี้ก่อนที่จะพูดได้ว่าโครงการนี้มีผลกระทบต่อชาวบ้านหรือไม่
แต่ในตอนนี้เจ้าหน้าที่
สำนักงานก็
ไม่ได้คำนึงและยอมรับถึงความจำเป็นของการจ่ายค่าชดเชยสำหรับการสูญเสียทรัพยากรการประมงและ
ป่าไม้อันเนื่องมา
จากโครงการ
หมู่บ้านน้ำสนานตั้งอยู่ใกล้กับอาคารผลิตไฟฟ้าข้างๆคลองส่งน้ำและบ่อพักน้ำ
ชาวบ้านยังได้กล่าว
ว่ามีที่นาของชาวบ้าน 6
ครอบครัวได้ถูกเวนคืนเพื่อไปสร้างคลองส่งน้ำ
อ่างพักน้ำ
และถนนเข้าโครงการ
โดยโครงการได้สัญญาว่าจะจัดสรรที่นาให้ใหม่
แต่
พื้นที่ที่ทางโครงการจัดหาให้นั้นมีแต่ที่ที่เป็นหลุมเป็น
บ่อเนื่องจากมีการขุดตักหน้าดินไปและไม่มีความเหมาะสมที่จะทำการเกษตร
ได้
ดังนั้นชาวบ้านจึงปฏิเสธที่
จะรับพื้นที่ดังกล่าวเพราะไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้
มีชาวบ้านเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ได้รับเงินในการ
ชดเชย ในขณะที่เหลืออีก 5
รายยังไม่ได้รับเลย
ชาวบ้านหลายคนได้แสดงถึงความผิดหวังกับสถานการณ์ที่
เป็นอยู่และไม่มั่นใจในการ
แก้ไขปัญหา
ตามคำกล่าวของสำนักงานคณะกรรมการการจัดการสิ่งแวดล้อม
(EMCO)
การจ่ายค่าชดเชยสำหรับชาวบ้านน้ำสนานที่
ถูกเวนคืนที่ดินได้ถูกจัดเตรียมใว้แล้ว
แต่ก็ยังต้องมี
การจัดหางบประมาณสำหรับปัญหาที่อาจจะมีขึ้นตามมาอีก
ชาวบ้านทั้งหมดที่ได้ให้สัมภาษณ์ในหมู่บ้านอื่นๆที่ได้ลงไปทำการศึกษาได้กล่าวอย่างเดียวกันว่าที่ผ่านมายังไม่เคยมี
การ
พูดคุยจากตัวแทนโครงการหรือเจ้าหน้าที่ราชการเรื่องการจ่ายค่าชดเชยใดๆเลย
โครงการการพัฒนาชนบทและจัดการการประมง
จากข้อตกลงเรื่องการลดปัญหาผลกระทบได้กำหนดให้มีการจัดสรรงบประมาณจำนวน
250,000 เหรียญสหรัฐ
เพื่อการจัด
ทำแผนงานในการพัฒนาชนบท
การชลประทานและการประมง
ซึ่งบริษัทบูรพารูรอลดิวิลอปเมนท์
(Burapha Rural Development)
ได้ถูกว่าจ้างให้จัดทำแผนงานนี้ขึ้นภายใต้การปรึกษา
ของสำนักงานคณะกรรมการการจัดการสิ่งแวดล้อม(EMCO)
ซึ่งได้แล้วเสร็จใน
เดือนธันวาคม พ.ศ. 2540
ตามแผนงานดังกล่าวต้องใช้งบประมาณมากกว่า
4 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในระยะเวลา 5
ปีสำหรับโครงสร้าง พื้นฐาน
เช่น การก่อสร้างถนน
การชลประทาน
การสนับสนุนสำนักงาน
การเกษตรและสาธารณสุข
ระดับจังหวัดและอำเภอ
การเลี้ยง
ปลาในอ่างเก็บน้ำ
และส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องอีก
โดยเงินทุนเหล่านี้ได้กำลังมี
การจัดหาอยู่ซึ่งช่องทางที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือจาก
การรับบริจาคจากต่างประเทศ
ซึ่งเมื่อสามารถจัด
หาเงินทุนได้แล้วแผนงานเหล่านี้จะได้รับการนำไปดำเนินงานโดยผ่านทางคณะ
กรรมการการพัฒนาชนบท
ของจังหวัดคำม่วนและจังหวัดบอริคำไซรวมทั้งหน่วยงานต่างๆทั้งในระดับอำเภอและจังหวัด
บริษัทเทินหินบูนเพาเวอร์(THPC)ยืนยันว่าโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่เสนอใว้ในแผนงานนั้น
เป็นกิจกรรมเสริมการ
พัฒนาให้กับชาวบ้านไม่ใช่การชดเชยหรือการแก้ปัญหาผลกระทบ
และบริษัทก็ไม่มี
หน้าที่จะต้องรับผิดชอบในการให้เงินกับ
โครงการดังกล่าวด้วย
แต่อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่บริษัทเทินหินบูน
เพาเวอร์(THPC)และบริษัทที่ปรึกษา(Norconsult)
ก็ยอมรับกับบาง
ส่วนของโครงการนี้
โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยว
ข้องกับการประมง
ชาวบ้านบางคนยังคงมีความหวังกับโครงการนี้ซึ่งบอกกับพวกเขาว่าจะได้รับผลประโยชน์ในหลายด้าน
เช่น ถนนเข้า หมู่บ้าน
ไฟฟ้า และโรงเรียน
ซึ่งจะมาชดเชยปัญหาที่เกิดจากโครงการ
อย่างไรก็ตามก็ยัง
เป็นที่สงสัยอยู่ว่ากิจกรรมการพัฒนาชนบทที่
เสนอมานี้เป็นการเสริมการพัฒนาให้กับชาวบ้าน
หรือเป็นเพียง
แค่การแก้ปัญหาผลกระทบที่เกิดจากโครงการ
มีชาวบ้านอีกจำนวน
มากซึ่งอยู่ไกลออกไปตามลุ่มแม่น้ำหิน-
บูนและแม่น้ำกระดิ่งไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในแผนงานนี้และไม่ได้รับผลประโยชน์จากแผนงาน
ที่จะเกิดขึ้น แต่
อย่างไรก็ตามชาวบ้านก็ยังคิดว่ามันไม่เพียงพอกับความเดือดร้อนและการสูญเสียที่เกิดขึ้น
ซึ่งโครงการไม่ เคยที่จะ
คำนึงถึงและปฏิเสธที่จะรับผิดชอบมาโดยตลอด
ในช่วงการพิจารณาแผนงานในการพัฒนาชนบทและการประมงนั้นได้มีคำถามเกิดขึ้นมากมายว่า
แผนงานนี้จะได้ผลมากแค่
ไหนแม้จะได้รับทุนสนับสนุน
แผนงานที่เกิดขึ้นไม่ได้มีข้อมูลเรื่องการประมง
ของชาวบ้านทั้งในอดีตและปัจจุบันอย่างเพียงพอ
รวม
ทั้งสมมติฐานที่ยังเป็นปัญหาในการเสนอแผนงานดัง
กล่าวโดยเฉพาะเรื่องการเลี้ยงปลาในอ่างเก็บน้ำ
หลายแผนงานแสดงให้เห็นถึง
การพัฒนาแบบรวมศูนย์อำนาจบนฐานที่เข้มแข็งของหน่วยงานรัฐบาล
แผนงานที่เกิดขึ้นทั่วไปในประเทศลาวเช่นนี้มักจะไม่ประสบ
ความสำเร็จในการพัฒนาวิถีชีวิตของชาวบ้านอย่างยั่งยืน
แผนงานในการจัดการการประมงนี้ดูเหมือนจะตั้ง
อยู่บนสมมติฐานที่กล่าว
หาชาวบ้านว่ามีการทำการประมงมากเกินไปจนเกิดปัญหา
และพยายามที่จะควบคุม
การหาปลาของชาวบ้าน
ดังนั้นการที่จะบรรลุวัตถุ
ประสงค์ของการเลี้ยงปลาในอ่างเก็บน้ำจึงดูเหมือนจะเกิด
ได้ยาก
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในการดำเนินแผนงานเช่นเดียวกันนี้ใน
ประเทศไทย
เขื่อนน้ำงึมในลาว เอง
และประเทศอื่นๆรวมถึงนอร์เวย์ด้วยก็ยังมีทั้งผลดีและผลเสียปะปนกัน
กิจกรรมการพัฒนาชนบทได้จำกัดอยู่แค่หมู่บ้านในเขตพื้นที่ผลกระทบโดยตรงใกล้ๆกับตัวเขื่อน
โดยไม่ได้รวมถึงหมู่บ้าน
ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่อื่นๆทางตอนท้ายของแม่น้ำกะดิ่งและแม่น้ำหินบูนซึ่ง
หมู่บ้านเหล่านี้ต่างก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
จาก
โครงการดังที่กล่าวไว้แล้วในข้างต้น
เงินส่วนใหญ่ของ
แผนงานทั้ง 2
นี้ได้ถูกใช้ไปกับการปรึกษาโครงการ
โครงสร้างสาธารณูปโภค
ต่างๆ ยานพาหนะ และสิ่ง
อื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องและไม่ได้รองรับกับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
รวมทั้งไม่ได้สอดคล้องกับชีวิตความเป็นอยู่
ของชาวบ้าน
ความสัมพันธ์ระหว่างแผนงานดังกล่าวกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบยังดูคลุมเครือไม่ชัดเจน ตัวอย่างเช่น ไม่มีความ
แน่นอนสำหรับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดว่าจะได้รับการจัดลำดับความ
สำคัญในระดับต้นๆให้ได้รับการจัดสรรที่ดินตาม
แผนงานการพัฒนาการชลประทาน
แผนงานต่างๆเหล่านี้
จะมีประโยชน์ต่อชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบในระยะยาวหรือไม่ยังคงเป็น
ประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่
ไม่ว่า
กรณีใดก็ตามเป็นที่ชัดเจนว่าแผนงานนี้เป็นการทดแทนที่น้อยมากสำหรับปัญหาที่ชาวบ้านกำลัง
ประสบอยู่ ในขณะนี้
การเปรียบเทียบกับกรณีเขื่อนปากมูล
เขื่อนปากมูลเป็นเขื่อนประเภทน้ำไหลผ่าน
(Run of River)
ประเภทเดียวกันกับเขื่อนเทินหินบูนแต่
มีขนาดเล็กกว่า ได้รับ
การให้กู้ยืมเงินจากธนาคารโลก
( World Bank )
ตั้งอยู่ในประเทศไทยบนแม่น้ำมูล
ซึ่งลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง
ก่อสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2537
ปีเดียวกันกับที่เขื่อนเทินหินบูนได้ผ่านการ
อนุมัติ
ทั้งสองเขื่อนมีประเด็นปัญหาหลักทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่
เหมือนกันคือการประมงและการ
สูญเสียทางเศรษฐกิจของชุมชน
ในปี พ.ศ. 2537
พบว่ามีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโครงการ
1,567 ครอบครัว
ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าการคาดการณ์ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและธนาคารโลกถึง
6 เท่า เมื่อ เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2538
ปรากฏว่าบัญชีรายชื่อผู้ได้รับผลกระทบที่เรียกร้องขอค่าชดเชยค่าเสียหายเพิ่มขึ้น
เป็น 2,506 ครอบครัว[1] ในที่สุดได้มี
ข้อตกลงที่จะจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการเป็นเงิน
สด 30,000 บาท (1,200 เหรียญสหรัฐ)
ต่อครอบครัว และอีก จำนวน
60,000
บาทต่อครอบครัวนำไปจัดตั้ง
เป็นกองทุนเพื่อการเสริมสร้างรายได้ในท้องถิ่นแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยอยู่ภายใต้
การบริหารงานของ
หน่วยงานราชการ
การจ่ายค่าชดเชยดังกล่าวได้มีขึ้นหลังจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบได้มีการต่อสู้เรียกร้องมาอย่าง
ยาวนานเพื่อที่ได้รับการ
ยอมรับถึงความเดือดร้อนของพวกเขา
แต่ถึงอย่างไรก็ตามกลุ่มตัวแทนของชาวบ้าน
ก็ยังคงไม่พอใจกับค่าชดเชยที่ได้รับจากการเจรจา
เนื่องจากว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับความเดือดร้อนที่พวก
เขาได้รับจากโครงการเขื่อนปากมูล
ในขณะที่การชดเชยยังไม่เพียงพอ
และ
ยังมีชาวบ้านอีกจำนวนมากที่ยัง
ไม่ได้รับค่าตอบแทน
ข้อตกลงจากการเจรจาที่ปากมูลได้ยอมรับในหลักการในการจ่ายค่าชดเชยโดย
ตรงแก่
ผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่เช่นนี้
จนถึงเมื่อเดือนกรกฎาคม
พ.ศ. 2538
จำนวนเงินงบประมาณในการชดเชยและการเวนคืนได้สูงถึง
39 ล้านเหรียญสหรัฐและ
ยังคงมีการเพิ่มขึ้นอีก
ซึ่งเงินส่วนใหญ่ของงบประมาณจำนวน
34.3 ล้านเหรียญ
สหรัฐได้ถูกใช้ไปกับการจ่ายค่าชดเชย[2] หากพิจารณา
เปรียบเทียบแล้วจะพบว่าในขณะที่มีความแตกต่างทาง
ด้านเศรษฐกิจ
สังคมและด้านอื่นๆระหว่างเขื่อนปากมูลและเขื่อนเทินหินบูน
ประสบการณ์ของเขื่อนปากมูล
ได้เป็นสิ่งยืนยันให้เห็นอย่างชัดเจนว่าค่าใช้จ่ายในการชดเชยแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการเทิน
หินบูน
ในประเทศลาวนั้นได้กำหนดไว้ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก
หากลองคิดประมาณว่าชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ
3,000 คนในโครง
การเทินหินบูนต้องการค่าชดเชยเบื้องต้นเป็นเงินคนละ
1,200
เหรียญสหรัฐซึ่งคิดจากค่า
ประมาณการต่ำสุด
งบประมาณค่าชดเชยจะ
มีจำนวนถึง 3.6
ล้านเหรียญสหรัฐ
ถ้าหากว่างบประมาณนี้เป็น
การมากเกินไปที่บริษัทเทินหินบูนเพาเวอร์(THPC)จะรองรับได้
ย่อม
ก่อให้เกิดคำถามกับโครงการว่าการ
ดำเนินงานที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ความจริงแล้วทำไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนลาวจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตามนอกจากประเด็นที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย(ADB)และ
บริษัทเทินหินบูนเพาเวอร์ (THPC)
ยังได้กำลังประกาศถึงความสำเร็จของโครงการโดยปฏิเสธไม่ยอมรับถึง
ผลกระทบด้านลบที่กำลังเกิดขึ้นต่อชีวิตของ
ประชาชน
ไม่มีการตรวจสอบและประเมินผลจากภายนอกใดๆ
ว่าเงินค่าชดเชยซึ่งได้ถูกจัดสรรไว้ในจำนวนไม่มากนั้นได้ถูกส่งถึงมือ
ผู้ได้รับผลกระทบจริงหรือไม่
และไม่
มีระบบการจัดทำเอกสารข้อมูลที่ถูกต้องในเรื่องการสูญเสียทางเศรษฐกิจของชาวบ้าน
บริษัท เทินหินบูนเพาเวอร์(THPC)
เองก็ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการพยามที่จะติดตามค้นหาหรือตรวจสอบความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน
ต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจาก
โครงการ
ชาวบ้านหลายคนกล่าวว่าพวกเขามีความรู้สึกอึดอัดและไม่
สบายใจในการพูดหรือถกถึงปัญหา
ที่เกิดขึ้นต่อหน้าเจ้าหน้าที่ของโครงการหรือข้าราชการ
|